นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันพรุ่งนี้(4 พ.ย.) กระทรวงพาณิชย์จะเสนอร่างพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ให้พิจารณาอีกครั้ง เนื่องจากเห็นว่าควรจะมีกฎหมายที่สร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ประกอบการค้าปลีกทั้งรายเล็กและรายใหญ่ให้สามารถดำเนินธุรกิจร่วมกันได้
อย่างไรก็ดี หากมีปัญหาติดขัดทำให้ร่างกฎหมายไม่เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีหรือไม่ผ่านการพิจารณาอีก ก็จะขออำนาจจากคณะรัฐมนตรีเพื่อให้กระทรวงพาณิชย์ใช้อำนาจตามกฎหมายอื่นที่ดูแลอยู่ นำมาบังคับใช้ในการแก้ไขปัญหาค้าปลีก
"จะขออำนาจ ครม.ให้กระทรวงมีบทบาทแก้ไขปัญหาค้าปลีกมากขึ้น โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายที่มีอยู่ออกเป็นกฎกระทรวง เช่น กฎหมายจดทะเบียนพาณิชย์ หรือกฎหมายแข่งขันทางการค้า เพื่อจัดระเบียบการค้าปลีก ค้าส่ง และชะลอการขยายสาขาของห้างขนาดใหญ่ เพราะทำได้เร็วกว่าการออกเป็นกฎหมาย และการขยายสาขาต้องได้รับการพิจารณาจากกระทรวงพาณิชย์ด้วย...แต่กฎหมายค้าส่งค้าปลีกก็ยังยืนยันที่จะให้มี" นายไชยา กล่าว
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ได้ทำหนังสือถึง พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รมว.มหาดไทย เพื่อขอความร่วมมือสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดดำเนินการในลักษณะเดียวกับ จ.ชลบุรี ที่ออกประกาศเรื่องนโยบายการอนุญาตก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคาร เพื่อขยายสาขาของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ โดยไม่อนุญาตก่อสร้าง ดัดแปลง การใช้อาคารพาณิชย์(ห้องแถว)เป็นร้านค้าส่งค้าปลีกในเขตเทศบาลและพื้นที่ชุมชน และก่อนพิจารณาอนุญาตต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ วิเคราะห์ผลดีผลเสีย ผลกระทบต่อค้าปลีกค้าส่งรายย่อย ปัญหาจราจรและสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ ขอให้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจังหวัดดำเนินการตามกฎหมายผังเมืองและกฎหมายควบคุมอาคารในการกำกับดูแลการขยายสาขาของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ในพื้นที่อย่างเข้มงวด และให้ทุกจังหวัดต่ออายุประกาศกำหนดหลักเกณฑ์การใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินที่เกี่ยวกับอาคารพาณิชย์ประเภทค้าปลีกค้าส่ง ซึ่งมีระยะเวลาบังคับใช้ 3 ปี และจะครบกำหนดในปี 52 เพื่อให้กำกับดูแลการขยายสาขาธุรกิจค้าปลีกค้าส่งได้อย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน สั่งการให้พาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศติดตามการเปิดหรือขยายสาขา โดยขอให้แจ้งเข้ามายังส่วนกลาง เพื่อจะได้เตรียมมาตรการรับมืออย่างทันท่วงที