บรรดารัฐมนตรีคลังของประเทศในทวีปยุโรปปฏิเสธที่จะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิฐในยุโรปร่วมกัน แต่เห็นพ้องในการใช้นโยบายทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศผ่านการประสานความร่วมมือ เพื่อที่จะสกัดกั้นภาวะล่มสลายทางเศรษฐกิจท่ามกลางภาวะการใช้จ่ายผู้บริโภคและภาคเอกชนที่ซบเซา
"เรามองว่ากลุ่มประเทศในยุโรปไม่จำเป็นต้องมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นมาตรการแบบเดิมๆที่ไม่มีอะไรใหม่" ฌอง-คล้อด จังค์เกอร์ รัฐมนตรีคลังของลักเซมเบิร์กกล่าว
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า รัฐมนตรีคลังของกลุ่มประเทศยุโรปได้เข้าหารือกันเป็นเวลาหลายชั่วโมง หลังจากที่คณะกรรมการธิการยุโรปได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยคาดว่าเศรษฐกิจอาจเผชิญภาวะที่เงินเฟ้อรุนแรงแต่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ตกต่ำในปีหน้า ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวได้ทำให้ประธานาธิบดีนิโคลาส์ ซาร์โกซีย์ ของฝรั่งเศส ออกโรงเรียกร้องให้มีการกำหนดมาตรการร่วมกันเพื่อช่วยให้ชาติยุโรปสามารถต่อสู้กับวิกฤตเศรษฐกิจถดถอย ขณะที่ รัฐมนตรีหลายท่านพอใจที่จะใช้มาตรการประสานความร่วมมือที่มีความยืดหยุ่นมากกว่า
ทั้งนี้ กลุ่มประเทศอียูได้เริ่มวางแผนถึงกำหนดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ โดยเยอรมนีมีแผนกระตุ้นการลงทุนและเพิ่มนโยบายจูงใจเป็นระยะเวลา 2 ปีภายใต้กองทุนมูลค่า 5 หมื่นล้านยูโร (6.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ)
นายเพียร์ สเตนเบิร์ก รัฐมนตรีคลังเยอรมนีกล่าวว่า "การคาดการณ์ของคณะกรรมาธิการยุโรปสะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจจะเผชิญความเสี่ยงช่วงขาลง ซึ่งขณะนี้เรากำลังเผชิญกับปีที่รุมเร้าด้วยปัญหาร้ายแรง"