นายเจมมี ไดมอน ซีอีโอของเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค เปิดเผยในที่ประชุมพนักงานเจพีมอร์แกนในฮ่องกงว่า เจพีมอร์แกนอาจเผชิญความท้าทายที่ค่อนข้างหนักหน่วงในปีหน้า แต่คาดว่ากิจการของบริษัทจะฟื้นตัวขึ้นแกร่งในปีพ.ศ.2553 พร้อมกับชี้แจงว่าการที่เจพีมอร์แกนตัดสินใจเข้าซื้อกิจการแบร์ สเติร์นส์ และวอชิงตัน มูชวล สองสถาบันการเงินที่ตกเป็นเหยื่อวิกฤตสินเชื่อนั้น จะช่วยเสริมสร้างผลประกอบการของเจพีมอร์แกนในระยะยาว
ไดมอน วัย 52 ปี ไม่มั่นใจว่าเศรษฐกิจในประเทศเอเชียจะสามารถฟันฝ่าวิกฤตการณ์ด้านการเงินที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์ Great Depression ไปได้หรือไม่ แม้ที่ผ่านมาเอเชียสามารถหลีกเลี่ยงวิกฤตการณ์รุนแรงที่เกิดจากการล้มละลายของเลห์แมน บราเธอร์ส และการขายกิจการของเมอร์ริล ลินช์ก็ตาม
"ผมคาดว่าเอเชียจะเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจรุนแรงกว่าที่พวกคุณคาดคิด และผมไม่คิดว่าเอเชียจะรอดพ้นจากปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังลุกลามไปทั่วโลก ตรงกันข้ามผมคาดว่าเอเชียจะเผชิญความยากลำบากในระยะใกล้นี้ อย่างไรก็ดี ในระยะยาวนั้นผมเชื่อว่าเอเชียมีรากฐานเศรษฐกิจที่แกร่งพอที่จะขยายตัวได้อย่างยั่งยืน" ไดมอนกล่าว
ทั้งนี้ ไดมอนกล่าวว่า เจพีมอร์แกนอาจเพิ่มจำนวนพนักงานในอินเดียและฟิลิปปินส์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ เพราะทั้งสองประเทศเป็นศูนย์กลาง outsourcing แรงงาน ซึ่งจะสนับสนุนกลไกการดำเนินธุรกิจของเจพีมอร์แกนให้แข็งแกร่งขึ้น
ซีอีโอในย่านวอลล์สตรีท รวมถึงนายจอห์น เธน ซีอีโอเมอร์ริล ลินช์ และนายแกรี คริทเทนเดน ซีอีโอซิตี้กรุ๊ป ได้ออกมาส่งสัญญาณก่อนหน้านี้ว่า เศรษฐกิจที่ทรุดตัวลงอาจทำให้ผลประกอบการของบริษัทร่วงลงไปจนถึงปีหน้า และเมื่อเดือนที่แล้วซีอีโอเจพีมอร์แกนกล่าวว่า เจพีมอร์แกนจะต้องกันเงินสดเอาไว้ตั้งสำรองหนี้สูญ และคาดว่าผลประกอบการของบริษัทจะร่วงลงรุนแรงกว่าที่ประเมินไว้ในเบื้องต้น
การคาดการณ์ของนายไดมอนสวนทางกับที่นายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ประธานธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ที่ว่า เศรษฐกิจเอเชียมีแนวโน้มขยายตัวแข็งแกร่งในปีนี้และปีหน้า แม้วิกฤตการณ์การเงินในสหรัฐกำลังลุกลามไปทั่วโลก โดยเขาคาดว่าเศรษฐกิจเอเชียจะขยายตัวในอัตรา 7.5% ในปีนี้ และ 7.2% ในปีหน้า สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน