นายหลี่ เตากุย หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจประจำมหาวิทยาลัยซิงหัวของจีนกล่าวภายหลังเข้าหารือประเด็นเศรษฐกิจร่วมกับประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ว่า การที่จีนจะมีส่วนช่วยกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจโลกนั้น จีนควรลงทุนซื้อหุ้นในตลาดต่างประเทศมากกว่าที่จะให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่รัฐบาลในยุโรปและสหรัฐ โดยแนะนำให้เข้าซื้อหุ้นที่มีมูลค่าต่ำ
"จีนควรเข้าซื้อหุ้นที่มีมูลค่าต่ำในตลาดต่างประเทศ และไม่ควรเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลที่มีมูลค่าสูง ความเคลื่อนไหวเช่นนี้จะช่วยให้รัฐบาลสหรัฐสามารถระดมทุนได้ในทางอ้อม และเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโลกให้ขยายตัวต่อไปด้วย อีกทั้งยังช่วยปกป้องเศรษฐกิจให้สามารถต้นทานวิกฤตการณ์การเงินที่ลุกลามไปทั่วโลกได้" นายหลี่กล่าว
ที่ผ่านมานั้น สหรัฐและอังกฤษทุ่มเม็ดเงินหลายหมื่นล้านดอลลาร์เพื่อเข้าซื้อหุ้นในกลุ่มธนาคาร เพื่อป้องกันภาคการธนาคารไม่ให้ล่มสลายหลังจากการล้มละลายของเลห์แมน บราเธอร์สในเดือนก.ย.ส่งผลให้ตลาดสินเชื่อทั่วโลกตกอยู่ในภาวะชะงักงัน และเป็นเหตุให้มูลค่าในตลาดหายไปกว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์
นายหลี่กล่าวว่า จีนซึ่งมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศอยู่สูงที่สุดในโลกถึง 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ อาจต้องเผชิญวิกฤตการณ์ด้านการเงินและอาจทำให้ทุนสำรองของจีนทรุดตัวลงด้วย หากจีนไม่สามารถจัดการกับเงินทุนภายในประเทศอย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนได้จัดตั้งกองทุนบริหารความมั่งคั่ง (SWF) มูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้วเพื่อกระตุ้นทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ และจีนได้นำเงินจากกองทุนดังกล่าวเข้าซื้อหุ้นกว่า 8 พันล้านหุ้นในธนาคารแบล็คสโตน กรุ๊ป ซึ่งถือเป็นการเข้าซื้อหุ้นครั้งใหญ่ที่สุดในโลก และได้เข้าซื้อหุ้นในวาณิชธนกิจมอร์แกน สแตนลีย์
นอกจากนี้ มีรายงานว่า ประธานาธิบดีหู จิ่นเทา จะเข้าร่วมประชุมผู้นำโลกในวันที่ 15 พ.ย.นี้ เพื่อหารือเรื่องวิกฤตการณ์การเงินที่ลุกลามไปทั่วโลก โดยประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช จะเป็นเจ้าภาพในการประชุมครั้งนี้ สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน