การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)เซ็นสัญญาจ้างบริษัท Burns and Roe Asia, Ltd. จากประเทศสหรัฐ เป็นที่ปรึกษาเพื่อศึกษาความเหมาะสมในการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในไทย โดยใช้เวลา 20 เดือน หลังจากนั้นจะเสนอผลศึกษาให้รัฐบาลตัดสินใจในช่วงปลายปี 2553
"อนาคตเชื้อเพลิงที่พึ่งพาได้นอกเหนือจากการนำเข้าถ่านหินซึ่งจะมีแหล่งสำรองใช้ไปได้อีก 200 ปี พลังงานนิวเคลียร์จึงเป็นพลังงานทางเลือกอีกทางหนึ่งของประเทศไทย โดยต้องมีการศึกษาและติดตามเทคโนโลยีเพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในอนาคตเช่นกัน" นายสมบัติ ศานติจารี ผู้ว่าการ กฟผ.กล่าว
บริษัท Burns and Roe Asia, Ltd. ได้รับการคัดเลือกจากคณะทำงานเพื่อดำเนินการจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาความเหมาะสมโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะอนุกรรมการประสานงานด้านวางแผนการดำเนินการโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ให้เป็นผู้ศึกษาความเหมาะสมของโครงการ(Feasibility Study)
การศึกษาจะพิจารณาด้านความปลอดภัยของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ การจัดการกากกัมมันตรังสี และการคัดเลือกสถานที่ก่อสร้าง รวมทั้งการเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสม การศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น การศึกษาเชิงเศรษฐศาสตร์และการเงิน และการวางแผนพัฒนาบุคลากร
ผู้ว่าการ กฟผ.กล่าวว่า ในส่วนของ กฟผ.ได้เตรียมความพร้อมด้านบุคลากร โดยได้รับความร่วมมือจากภาควิชานิวเคลียร์เทคโนโลยี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการจัดอบรมให้ความรู้พื้นฐานพลังงานนิวเคลียร์ให้ผู้ปฏิบัติงาน กฟผ.เพื่อเตรียมความพร้อมในการส่งไปเรียนในหลักสูตรก้าวหน้าในประเทศที่พัฒนาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ต่อไป
ทั้งนี้ กฟผ.ได้พิจารณาแล้วว่าการเตรียมความพร้อมทุกด้าน เพื่อรองรับการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์นับได้ว่าเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากปัจจุบันนี้ปริมาณสำรองน้ำมันในโลกมีเหลือใช้ได้อีกประมาณ 40 ปี ส่วนก๊าซธรรมชาติที่ประเทศไทยใช้มากถึงร้อยละ 70 แหล่งก๊าซในประเทศก็จะหมดไปในระยะเวลาอีกประมาณ 20 ปีข้างหน้า