ภาคเอกชนห่วงนโยบายผู้นำสหรัฐคนใหม่กระเทือนการค้าไทย-รื้อข้อตกลง FTA

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday November 5, 2008 16:40 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานหอการค้าไทย กล่าวถึงผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐว่า นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีคนใหม่ที่จะประกาศออกมาน่าจะมีความแตกต่างจากรัฐบาลเดิมพอสมควร โดยเฉพาะการสร้างความเป็นธรรมทางการค้าระหว่างประเทศ แม้ไม่ได้หมายความว่าสหรัฐจะกีดกันทางการค้าอย่างเต็มรูปแบบ แต่ก็ต้องการให้การค้าของสหรัฐได้รับการดูแลที่ถูกต้อง และอาจทำให้ต้องมีการเจรจากับประเทศคู่ค้าใหม่ เช่น กลุ่มสหภาพยุโรปที่มีอำนาจต่อรองสูง

ในส่วนของไทย มองว่าในระยะสั้น นโยบายการค้าของสหรัฐที่มีต่อไทยคงจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก เพราะช่วงนี้ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูเศรษฐกิจในสหรัฐก่อน แต่ในระยะต่อไปไทยคงต้องใช้เวลาปรับตัวกับนโยบายใหม่ของสหรัฐ และไทยคงต้องหวังพึ่งองค์การการค้าโลก (WTO) เป็นเวทีในการเจรจาต่อรองทางการค้ามากขึ้น

นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)กล่าวว่า การค้าระหว่างไทย-สหรัฐจะไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากสัดส่วนที่สหรัฐนำเข้าสินค้าไทยมีเพียง 1% แต่ยอมรับว่าสหรัฐอาจมีการทบทวนข้อตกลงเขตการค้าเสรี(FTA)ระหว่างไทย-สหรัฐใหม่ โดยเฉพาะประเด็นผลกระทบต่อการจ้างงานของสหรัฐ รวมทั้งการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา

ส่วนนโยบายการถอนกำลังทหารออกจากประเทศอิรัก เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อตลาดโลก เพราะจะช่วยลดปัญหาความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและกลุ่มตะวันออกกลาง ซึ่งจะมีผลต่อราคาน้ำมัน โดยคาดว่าปี 52 ราคาน้ำมันเฉลี่ยน่าจะอยู่ในระดับ 60-70 ดอลลาร์/บาร์เรล

ด้านนายณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย(EXIM BANK) กล่าวว่า นโยบายเศรษฐกิจของนายโอบามา คล้ายกับนโยบายที่พรรคอื่นๆในสหรัฐ แต่มีจุดเปลี่ยนที่สำคัญ คือ การถอนกำลังทหารออกจากตะวันออกกลาง ซึ่งจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและกลุ่มตะวันออกกลางดีขึ้น และช่วยทำให้ราคาน้ำมันมีเสถียรภาพมากขึ้น ลดค่าใช้จ่ายของสหรัฐลดลง และไม่ทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงมากนัก

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เชื่อว่า ผู้นำสหรัฐจะมีนโยบายเศรษฐกิจในหลายเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อเอเชียและไทยทั้งด้านบวกและลบ โดยเฉพาะการทำข้อตกลง FTA อาจมีการทบทวน รวมถึงการมีนโยบายปกป้องทางการค้ามากขึ้น เพื่อปกป้องอุตสาหกรรม และการจ้างงานในสหรัฐ มีนโยบายด้านการลงทุนเพื่อแสวงหาพลังทางเลือก การลงทุนในโครงสร้างด้านพลังงาน ซึ่งจะใช้งบประมาณ 150,000 ล้านดอลลาร์ อาจทำให้ราคาน้ำมันไม่ปรับตัวสูง และส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโลก



เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ