นางจันทรา บูรณฤกษ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) เปิดเผยว่า ในสัปดาห์นี้จะเชิญสมาคมประกันชีวิตไทย และสมาคมประกันวินาศภัย มาหารือถึงการปรับหลักเกณฑ์ดำรงเงินกองทุน เพื่อป้องกันและดูแลไม่ให้เกิดปัญหาสภาพคล่องในธุรกิจประกันภัย เช่น พิจารณาสัดส่วนการลงทุนในด้านต่างๆ รวมถึงทบทวนอัตราการดำรงเงินกองทุนใหม่ โดยอาจกำหนดให้แต่ละบริษัทต้องดำรงเงินกองทุนต่ำกว่า 150% ของเบี้ยประกันภัยรับโดยตรง ซึ่งเป็นอัตราที่กฎหมายกำหนดในปัจจุบัน แต่อาจไม่ถึงต่ำกว่า 100%
"ขณะนี้บริษัทประกันลงทุนในตลาดหุ้นและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ค่อนข้างมาก ซึ่งตลาดหุ้นก็ไม่ดี ส่วนธุรกิจอสังหาฯ ก็ขยายตัวไม่มากนัก จึงต้องมีการทบทวนให้เหมาะสม และหาวิธีการดูแลเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต" นางจันทรา กล่าว
ก่อนหน้านี้ คปภ.ได้ทำเอ็มโอยูกับรัฐนิวยอร์กของสหรัฐฯ ซึ่งมีบริษัทประกันจำนวนมาก และมีสาขาในไทย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน อย่างกรณีเอไอจีก็มีการเช็คข้อมูลกันตลอด จึงพบว่าไม่มีปัญหาอะไร และในไทยยังมีฐานะการเงินที่ดี
แต่ปัจจุบันบริษัทประกันหลายแห่งนำเงินกองทุนไปลงทุนในตลาดหุ้นค่อนข้างสูง แม้ คปภ.จะกำหนดอัตราส่วนการลงทุนในกองทุนไว้แล้ว แต่ต้องการให้ภาคเอกชนเห็นชอบด้วย โดยจะให้ทั้ง 2 สมาคมไปหารือกันแล้วจัดทำข้อสรุปมาให้ คปภ.อีกครั้ง จากนั้นจะถือเป็นข้อบังคับใช้ต่อไป
อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบสถานะเงินกองทุนของบริษัทประกันภัยส่วนใหญ่ยังไม่มีปัญหา โดยส่วนใหญ่จะลงทุนในพันธบัตรสัดส่วนถึง 70-80% ส่วนภาพรวมธุรกิจประกันภัยในไทยยังมีความมั่นคงและขยายตัวได้สูงเกิน 10% ใน 3 ไตรมาสที่ผ่านมา และสูงกว่าการขยายตัวของธุรกิจประกันภัยโลกที่โต 3.3%
เลขาธิการ คปภ.กล่าวว่า คณะกรรมการฯ ได้เห็นชอบให้บริษัท สัมพันธ์ประกันภัย จำกัด และบริษัท ธนสินประกันภัย จำกัด นำเงินเข้ากองทุน และแก้ปัญหาสภาพคล่องให้เสร็จภายในเดือน ธ.ค.นี้ จากเดิมสิ้นสุดเดือน ต.ค. และถือเป็นครั้งสุดท้ายที่จะต่อเวลาให้ทั้ง 2 บริษัทแก้ไขปัญหา หากเลยกำหนดจะถอนใบอนุญาตประกอบกิจการ ซึ่งขณะนี้ทั้ง 2 บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาผู้ร่วมทุนรายใหม่จากต่างประเทศ ส่วนบริษัท ฟินันซ่า ในสัปดาห์นี้บริษัทจะนำผู้ลงทุนรายใหม่เข้าพบ คปภ.ด้วย