บารัค โอบามา ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้หารือกับประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช เกี่ยวกับแนวทางเร่งด่วนในการช่วยเหลือบริษัทผลิตรถยนต์ในสหรัฐ อีกทั้งหารือเรื่องวิกฤตการณ์ในตลาดอสังหาริมทรัพย์และความจำเป็นการในการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฉบับที่สอง ในระหว่างที่นายโอบามาเดินทางเข้าพบประธานาธิบดีบุชที่ทำเนียบขาวเป็นครั้งแรกภายหลังชนะการเลือกตั้ง
โรเบิร์ต กิบส์ โฆษกประจำตัวของโอบามาเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวที่ชิคาโกหลังจากการประชุมระหว่างบุชและโอบามาสิ้นสุดลง ว่า "ท่านโอบามาและบุชหารือกันในประเด็นกว้างๆ ครอบคลุมถึงเรื่องสถานะทางการเงินของอุตสาหกรรมรถยนต์ นอกจากนี้ ทั้งสองยังหารือกันเรื่องสถานการณ์เศรษฐกิจและนโยบายต่างประเทศ"
"นอกจากนี้ โอบามายังเข้าหารือเป็นการส่วนตัวกับวุฒิสมาชิกริชาร์ด ลูการ์ สังกัดพรรครีพับลิกันซึ่งมีบทบาทสำคัญในนโยบายต่างประเทศและนโยบายความมั่นคงแห่งชาติ" กิบส์กล่าว
ขณะที่ เจน ซากี โฆษกหญิงของโอบามากล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า "โอบามาส่งสัญญาณว่ายังไม่รีบร้อนเรื่องการรับมือกับวิกฤตการณ์ด้านการเงิน และจะไม่เข้าร่วมการประชุมสุดยอดว่าด้วยเรื่องการแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจโลก ซึ่งประธานาธิบดีบุชเสนอให้จัดขึ้นในวันที่ 14-15 ที่กรุงวอชิงตัน"
วิกฤตการณ์ด้านการเงินเป็นปัญหาที่รอคอยโอบามาอยู่เบื้องหน้า โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดขึ้นกับบริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) และฟอร์ด มอเตอร์ ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐที่ขาดทุนอย่างหนักในไตรมาสสาม จนทำให้ดอยช์แบงค์ เอจี ปรับลดอันดับความน่าลงทุนของหุ้นเจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) โดยระบุว่าหุ้นจีเอ็มอาจกลายเป็นหุ้นที่ไม่มีมูลค่าในรอบปีนี้ ส่งผลให้ราคาหุ้นจีเอ็มดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 59 ปี
"แม้จีเอ็มประสบความสำเร็จในการหลีกเลี่ยงการล้มละลาย แต่เราเชื่อว่าเส้นทางในอนาคตของจีเอ็มก็ไม่ต่างอะไรจากบริษัทที่ล้มละลายแล้ว ด้วยเหตุนี้เราจึงแนะนำให้นักลงทุนขายหุ้นจีเอ็ม พร้อมกับปรับลดเป้าหมายราคาหุ้นจีเอ็มลงสู่ระดับศูนย์" ร็อด แลช นักวิเคราะห์ของดอยช์แบงค์กล่าว ขณะที่นักวิเคราะห์ของบาร์เคลย์ส แคปิตอล และบัคกิงแฮม รีเสิร์ช กรุ๊ป ปรับลดเป้าหมายราคาหุ้นจีเอ็มลงเหลือ 1 ดอลลาร์ สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน