ภาคธุรกิจส่งออกของจีนกำลังเผชิญภาวะชะลอตัวท่ามกลางวิกฤตการเงินทั่วโลกที่ส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ในประเทศต่างๆ ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวได้ทำให้เกิดความเสี่ยงเพิ่มขึ้นว่า เศรษฐกิจจีนซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดอันดับสี่ของโลกจะยิ่งทรุดตัวลงต่อไปอีก
สำนักงานศุลกากรจีนเปิดเผยว่า ยอดส่งออกขยายตัวที่ระดับ 19.2% ในเดือนต.ค.จากปีก่อนหน้านี้ หลังจากที่ทะยานขึ้น 21.5% ในเดือนก.ย. โดยยอดเกินดุลการค้าพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3.52 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากการนำเข้าสินค้าลดลง
จีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีความสำคัญในการขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจรายใหญ่ที่สุดของโลกชะลอตัวลงติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 5 โดยในไตรมาสล่าสุด เศรษฐกิจขยายตัวที่ระดับ 9% ขณะที่รัฐบาลได้ประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 4 ล้านล้านหยวน (5.86 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจจนถึงปี 2553 และหันมาใช้นโยบายทางการเงินแบบผ่อนปรน
"อุปสงค์จากยุโรปและสหรัฐจะหดตัวอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะสร้างความเสียหายต่อการส่งออกของจีนรวมถึงการลงทุนภายในประเทศ" หวัง เฉียน นักวิเคราะห์จากเจพี มอร์แกน เชส แอนด์ โคกล่าว
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนจะขยายตัวที่ระดับ 8.5% ในปีหน้า ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐ ญี่ปุ่น และประเทศในยุโรปจะเผชิญภาวะถดถอย