ผลสำรวจซึ่งจัดทำโดย Zillow.com บ่งชี้ว่า 1 ใน 3 ของกลุ่มเจ้าของบ้านในสหรัฐที่ขายอสังหาริมทรัพย์ของตนเองในระยะเวลา 12 เดือนจนถึงเดือนก.ย.ที่ผ่านมานั้น ขาดทุนอย่างหนักเนื่องจากราคาบ้านตกต่ำลงและชาวอเมริกันตกงานมากขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจทรุดตัวลงอย่งหนัก
มูลค่าบ้านในสหรัฐช่วงไตรมาส 3 หดตัวลง 9.7% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกัน 7 ไตรมาส ส่งผลให้ราคากลางของบ้านอยู่ที่ระดับ 202,966 ดอลลาร์ โดย 1 ใน 7 ของเจ้าของบ้านต้องแบกรับภาระเงินกู้และผิดนัดชำระหนี้
สแตน ฮัมไฟร์ส รองประธานฝ่ายข้อมูลและวิเคราะห์ของ Zillow.com กล่าวว่า "ปัญหาที่เกิดขึ้นในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐมาถึงจุดที่วิกฤตที่สุดในประวัติศาสตร์ ราคาบ้านทรุดตัวลงติดต่อกันยาวนานถึง 7 ไตรมาส และคาดว่าจะปรับตัวลดลงต่อไปอีกจนถึงกลางปีหน้า ที่ผ่านมานั้นตลาดส่วนใหญ่มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น แต่แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์มีแต่จะทรุดตัวลงหรือไม่ก็ทรงตัวในระยะยาว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไปอีกระยะหนึ่ง"
รัสเซลล์ ไพรส์ นักวิเคราะห์จาก H&R Block Financial Advisors กล่าวว่า ประชาชนที่ตกงานเกือบ 1 ล้านคน มูลค่าสินทรัพย์ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ตกต่ำลง ตลาดหุ้นที่ทรุดตัวลง และภาวะตึงตัวในตลาดสินเชื่อ กำลังส่งผลกระทบอย่างหนักต่อผู้บริโภคและภาคเอกชนในสหรัฐ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวกำลังท้าทายนายบารัค โอบามา ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า อัตราการว่างงานเดือนต.ค.พุ่งขึ้น 0.4% แตะระดับ 6.5% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 14 ปีครึ่ง ส่วนตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร (non farm payroll) เดือนต.ค.ร่วงลงอีก 240,000 ตำแหน่งในเดือนดังกล่าว ซึ่งเป็นการลดลงติดต่อกันยาวนานถึง 10 เดือน ไมเคิล เฟโรลี นักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกน เชส กล่าวว่า "ตัวเลขจ้างงานสหรัฐที่อ่อนแอเกินคาดในเดือนส.ค.และก.ย.บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงเวลาก่อนที่วิกฤติสินเชื่อจะอยู่ในจุดเลวร้ายที่สุด ความกังวลเรื่องเรื่องการจ้างงานส่งผลให้ผู้บริโภคสหรัฐปรับลดการจับจ่ายใช้สอย และปัจจัยนี้ก็ส่งผลกระทบต่อหลายประเทศทั่วโลก โดยจีนและประเทศ ผู้ผลิตสินค้าต้นทุนต่ำรายอื่นๆต่างก็ได้รับผลกระทบจากการที่ผู้บริโภคสหรัฐลดการซื้อสินค้า สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน