ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินเยนและยูโร ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (11 พ.ย.) หลังจากนายเฮนรี พอลสัน รมว.คลังสหรัฐกล่าวว่ารัฐบาลอาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งจึงจะนำงบประมาณจากมาตรการฟื้นฟูภาคการเงินมูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์ออกมาใช้ ซึ่งข่าวดังกล่าวได้ฉุดดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงกว่า 400 จุด ขณะที่ค่าเงินปอนด์ร่วงลงหลังจากธนาคารกลางอังกฤษส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ค่าเงินดอลลาร์ร่วงลงเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 94.950 เยน/ดอลลาร์ จากระดับของวันอังคารที่ 97.690 เยน/ดอลลาร์ และอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกังเงินฟรังค์ที่ 1.1859 ปอนด์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.1875 ปอนด์/ดอลลาร์
ขณะที่ค่าเงินยูโรร่วงลงแตะระดับ 1.2490 ดอลลาร์/ยูโร จากระดับ 1.2517 ดอลลาร์/ยูโร และค่าเงินปอนด์ร่วงลงแตะระดับ 1.4931 ดอลลาร์/ปอนด์ จากระดับ 1.5382 ดอลลาร์/ปอนด์
ส่วนค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ร่วงลงแตะระดับ 0.5581 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.5730 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ และค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลงแตะระดับ 0.6357 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับ 0.6569 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย
อาร์ชาฟ ไลดี นักวิเคราะห์จาก CMC Markets US ในกรุงนิวยอร์กกล่าวว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐได้รับแรงกดดันอย่างหนักหลังจากรมว.คลังพอลสันกล่าวว่า รัฐบาลจะยังไม่ใช้งบประมาณจากมาตรการดังกล่าวเข้าซื้อหนี้เสียจากธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆตามที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งข่าวดังกล่าวสร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุนที่หวังจะเห็นระบบการธนาคารของสหรัฐได้รับการแก้ไขอย่างถูกจุด
ท่าทีครั้งล่าสุดของรัฐบาลสหรัฐส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลว่า ธุรกิจการธนาคารและธุรกิจในอีกหลายภาคส่วนของสหรัฐอาจเผชิญความเสี่ยงที่จะล้มละลาย ผิดกับในช่วงก่อนหน้านี้ที่ตลาดขานรับสภาคองเกรสที่ลงมติอนุมัติร่างกฎหมายฟื้นฟูภาคการเงินฉบับปรับปรุงใหม่วงเงิน 7 แสนล้านดอลลาร์ ด้วยคะแนนเสียง 263 ต่อ 171 เสียง โดยร่างกฎหมายดังกล่าวครอบคลุมถึงการเพิ่มค้ำประกันวงเงินฝากธนาคารที่ได้รับการค้ำประกันโดยบรรษัทประกันเงินฝากแห่งสหรัฐ (FDIC) จากเดิมที่ 100,000 ดอลลาร์ เป็น 250,000 ดอลลาร์ และจัดสรรงบประมาณเพื่อใช้ในมาตรการลดหย่อนภาษีมูลค่า 1.49 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยเหลือประชาชนทั่วไป
ค่าเงินปอนด์ร่วงลงอย่างหนัก หลังจากธนาคารกลางอังกฤษส่งสัญญาณว่าอาจต้องลดดอกเบี้ยอีก โดยระบุว่าการลดดอกเบี้ยเป็นเรื่องจำเป็นและหากไม่มีการลดดอกเบี้ยลงอีก เศรษฐกิจอังกฤษอาจจะหดตัวลงเกือบตลอดทั้งปีหน้า และอัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวต่ำกว่าระดับ 1% ซึ่งเป็นอัตราขั้นต่ำที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้
นอกจากนี้ สถาบัน Royal Institution of Chartered Surveyors (RICS) ซึ่งเป็นสำนักงานสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์ในอังกฤษเปิดเผยว่า ยอดขายบ้านในอังกฤษร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 30 ปีในรอบ 3 เดือนที่สิ้นสุด ณ เดือนต.ค. ขณะที่วิกฤตตลาดสินเชื่อตึงตัวได้กดดันให้ราคาบ้านทั่วประเทศปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 15