นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เสนอแนะให้คณะกรรมการนโยนบายการเงิน(กนง.)ที่จะมีการประชุมในเดือนธ.ค.นี้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างน้อย 0.5-1.0% เพื่อให้เกิดผลกระตุ้นความเชื่อมั่นและผลทางจิตวิทยาโดยเร็ว
"เนื่องจากตลาดได้คาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยจะต้องปรับลดลง และกนง.จะต้องปรับลง...ควรจะปรับมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ เพื่อให้เกิดผลกระตุ้นความเชื่อมั่นและจิตวิทยาโดยเร็ว"นายสันติ กล่าว
สำหรับค่าเงินบาทในขณะนี้ หากจะให้เป็นผลดีต่อการส่งออก เงินบาทควรอ่อนค่าลงไปกว่าในปัจจุบัน เพราะจะส่งผลดีมากกว่า อีกทั้งสินค้าเกษตรก็จะได้รับประโยชน์ด้วย และในปีหน้าภาคการส่งออกจะมีการแข่งขันอย่างมาก หลายประเทศอาจมีการตัดราคากันมากขึ้น และใช้ปัจจัยเรื่องค่าเงินเป็นหลักสำคัญในการเสนอราคาสินค้าส่งออก ดังนั้นจึงมองว่าหากบาทอ่อนค่าลงจะเป็นผลดีต่อการส่งออกของไทยมากขึ้น
ส่วนผลต่อราคาน้ำมัน คงไม่ต้องกังวล เนื่องจากแนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกตอนนี้ทิศทางปรับตัวลดลงไปมากแล้ว
นายสันติ กล่าวถึงกรณีมีกระแสข่าวว่าจะเกิดเหตุรุนแรงในกรุงเทพ ช่วงวันที่ 16 พ.ย.นี้ว่า เป็นห่วงภาคการท่องเที่ยวเพราะปัจจุบันความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติแทบไม่เหลือแล้ว และช่วงนี้เป็นช่วงไฮซีซั่น และเท่าที่ทราบยอดจองโรงแรม การซื้อสินค้าตาม Duty free ยอดการซื้อในห้างสรรพสินค้าก็ลดลง
"อยากให้รัฐบาลออกมาตรการในการช่วยให้ภาคเอกชนมีรายได้เข้ามาเพิ่มขึ้น แต่ยังมีความหวังต่อเศรษฐกิจไทยในปีหน้า เพียงแต่มองว่าอัตราการเติบโตอาจจะลดลงบ้าง แต่พื้นฐานของไทยยังไปได้ดี" นายสันติ กล่าว
ประธาน ส.อ.ท.ยังกล่าวว่า สิ่งที่น่าห่วงสำหรับปีหน้ายังมีภาคแรงงานที่จะหางานทำได้ยากขึ้น เนื่องจากปีนี้มีนักศึกษาที่จบใหม่อีกเป็นแสนคน ในขณะที่หลายอุตสาหกรรมได้เริ่มลดต้นทุนค่าแรงงานด้วยการลดการทำงานล่วงเวลา(OT)และลดการทำงานในวันเสาร์-อาทิตย์ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังแสดงความเป็นห่วงผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม(SMEs) ที่ขณะนี้ประสบปัญหาในเรื่องการขอสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ ที่แม้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)จะยืนยันว่าสภาพคล่องในระบบยังมีเพียงพอกับการที่ธนาคารพาณิชย์จะปล่อยสินเชื่อให้ภาคธุรกิจ แต่ในความเป็นจริงแล้วอาจไม่เป็นเช่นนั้น
นายสันติ กล่าวว่า ในวันที่ 20 พ.ย.นี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน(กรอ.) ที่มีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งภาคเอกชนคงจะเสนอให้รัฐบาลช่วยพิจารณาเรื่องการปรับลดอัตราภาษีเงินได้ทั้งบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล ตลอดจนการปรับโครงสร้างภาษีต่างๆ รวมถึงการเสนอแนะว่างบประมาณ 1 แสนล้านบาทที่รัฐบาลจะนำมาใช้สำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศนั้น ควรจะนำไปใช้ในด้านใดบ้างเพื่อให้เกิดความเหมาะสม
สำหรับปัญหาความขัดแย้งในการทำงานของทีมเศรษฐกิจรัฐบาลนั้น นายสันติ เห็นว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นจะยิ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของรัฐบาลให้น้อยลงไปอีกจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แต่ทั้งนี้มองว่าการพิจารณาหรือตัดสินใจของนายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี ที่ค่อนข้างละเอียดรอบคอบอาจทำให้มองได้ว่าตัดสินใจล่าช้า ซึ่งความจริงแล้วการใช้งบประมาณของประเทศในจำนวนที่สูงมากย่อมถือเป็นเรื่องดีถ้าจะมีการพิจารณาด้วยความละเอียดรอบคอบ เพราะไม่เช่นนั้นการใช้จ่ายเงินงบประมาณอาจไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ที่รัฐบาลตั้งไว้
"ตอนนี้ภาพพจน์รัฐบาลเป็นแบบนี้ ถ้ามีเกาเหลาอีกคงจะหนัก...แต่ถ้าดูให้ละเอียดก่อนใช้จ่าย(งบประมาณ) ก็เป็นเรื่องที่จำเป็น เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะใช้เงินไม่ตรงวัตถุประสงค์" นายสันติ กล่าว