ยอดการใช้จ่ายที่โรงงานและโครงการอสังหาริมทรัพย์ของจีนขยายตัวขึ้นในระดับที่ชะลอตัวลง ซึ่งจะยิ่งทำให้ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม การค้า และเงินเฟ้อขยายตัวในระดับที่อ่อนตัวลง นับเป็นการส่งสัญญาณที่ว่า เศรษฐกิจจีนชะลอตัวมากยิ่งขึ้น
สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนรายงานว่า ยอดการลงทุนในเขตเมืองช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้น 27.2% จากระดับปีที่แล้ว มาอยู่ที่ 11.3 ล้านล้านหยวน หรือ 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นสถิติที่ต่ำกว่าตัวเลขก่อนหน้านี้ที่ 27.6% และยังต่ำกว่าระดับคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่บลูมเบิร์กได้สำรวจความคิดเห็นที่ 27.4%
ครม.จีนได้ประกาศว่า จะใช้งบประมาณในโครงการที่อยู่อาศัยและโครงสร้างพื้นฐาน 5.86 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่วิกฤตการเงินและธุรกิจอสังหาฯที่ร่วงลงส่งผลกระทบต่อการขยายตัว ขณะที่มีแนวโน้มว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยมากขึ้น การขยายตัวภาคอุตสาหกรรมเองก็ขยายตัวน้อยที่สุดในรอบ 7 ปีเมื่อเดือนพ.ย.
หวัง เกียน นักเศรษฐศาสตร์ของเจพีมอร์แกร เชส แอนด์ โค กล่าวว่า ตัวเลขดังกล่าวช่วยยืนยันว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนย่ำแย่ลงกว่าเดิม และนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมรัฐบาลจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะหากไม่มีการใช้มาตรการใดๆออกมา เศรษฐกิจก็คงจะดิ่งลงหนัก
เงินหยวนซื้อขายกันที่ระดับ 6.8313 หยวนต่อดอลลาร์เมื่อเวลา 10.13 น.ตามเวลาท้องถิ่นในกรุงปักกิ่ง จากระดับ 6.8300 หยวนต่อดอลลาร์ในช่วงก่อนที่จะมีการเปิดเผยตัวเลขดังกล่าว
จำนวนโครงการลงทุนใหม่ๆในช่วง 10 เดือนแรกของจีนเพิ่มขึ้น 16,997 โครงการจากระดับปีที่แล้ว มาอยู่ที่ 208,083 โครงการ ส่วนงบการใช้จ่ายกับโครงการลงทุนใหม่ๆเพิ่มขึ้น 3.2% แตะ 6.9 ล้านล้านหยวน
เศรษฐกิจจีนขยายตัว 9% ในไตรมาส 3 จากระดับปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นสถิติที่ชะลอตัวมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2546 เนื่องจากความต้องการสินค้าส่งออกทั่วโลกที่ชะลอตัวลง ยูบีเอส เอจี คาดว่า การขยายตัวในปีหน้าอาจจะอยู่ที่ 7.5% ซึ่งถือเป็นสถิติที่อ่อนตัวมากที่สุดในรอบ 20 ปี
พอล ถัง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของแบงค์ ออฟ อีสต์ เอเชีย กล่าวว่า การลงทุนที่ชะลอตัวลงมาจากกลุ่มบริษัทผู้ผลิตที่ทำธุรกิจที่เกี่ยวกับการส่งออก การส่งออกยังคงชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเรื่องยากที่การลงทุนจะฟื้นตัวขึ้นในขณะที่แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง