เศรษฐกิจยุโรปมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะถดถอยครั้งแรกในรอบ 15 ปีในช่วงไตรมาสที่สาม ซึ่งจะยิ่งปูทางให้มีการปรับลดดอกเบี้ยและภาษีมากขึ้น ท่ามกลางวิกฤตการเงินที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่
นักวิเคราะห์จากโพลล์ของสำนักข่าวบลูมเบิร์กคาดการณ์ว่า สำนักงานสถิติยุโรปจะเปิดเผยตัวเลขผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (GDP) ที่หดตัวลง 0.2% ในไตรมาสสามต่อเนื่องจากที่ร่วงลง 0.2% ในไตรมาสก่อนหน้านี้ ซึ่งผลของการเรียกเก็บอัตราเงินกู้ที่สูงขึ้นประกอบกับภาวะเงินยูโรที่แข็งค่าและราคาน้ำมันแพงในปีนี้เป็นสัญญาณบ่งชี้ที่แสดงให้เห็นถึงการเข้าสู่ภาวะถดถอยเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการเริ่มใช้สกุลเงินเดี่ยวเมื่อช่วงเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา
ผู้บริโภคและบริษัทหลายแห่งต่างได้รับผลกระทบจากยอดขาย ผลกำไร และการจ้างงานที่ลดลง ซึ่งทั้งหมดล้วนกดดันให้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ต้องใช้นโยบายเชิงรุกในการลดดอกเบี้ยลงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่รัฐบาลใช้เองก็นโยบายกระตุ้นภาคการเงินช่วยด้วยอีกแรง ทั้งนี้ ภาวะเศรษฐกิจซบเซาอาจกินเวลายาวนานกว่าในสหรัฐและเอเชีย โดยแบงก์ ออฟ อเมริกา คอร์ป และดอยช์ แบงก์ เอจีคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจยุโรปจะหดตัวลงในปีหน้า และจะยังไม่สามารถขยายตัวได้จนกว่าจะถึงปลายปี 2552
เมื่อวานนี้ รัฐบาลเยอรมนีเปิดเผยว่า เศรษฐกิจเยอรมนีซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรปทรุดตัวลงหนักกว่าคาดถึง 0.5% ในไตรมาสที่สาม พร้อมทั้งยืนยันถึงการเข้าสู่ภาวะถดถอยรุนแรงที่สุดในรอบ 12 ปี
"เราบอกได้เลยว่ายุโรปกำลังเผชิญช่วงขาลง" พอล โดโนแวน นักวิเคราะห์จากยูบีเอส เอจีในลอนดอนกล่าว "เศรษฐกิจจะอ่อนแอต่อไปอีก 2 ปีเป็นอย่างต่ำ"