"โอฬาร"เชื่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นชะลอตัวไม่กระทบปัญหาแรงงาน-ส่งออก-ขอกู้เงิน

ข่าวเศรษฐกิจ Monday November 17, 2008 14:37 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี ระบุการที่ภาวะเศรษฐกิจของญี่ปุ่นชะลอตัวอาจส่งผลกระทบต่อภาคแรงงานไทยที่ทำงานให้กับโรงงานของญี่ปุ่นที่ตั้งฐานการผลิตในประเทศไทยไม่มากนัก เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นใช้เทคโนโลยีระดับสูง ซึ่งใช้เพียงแรงงานที่มีฝีมือและเชี่ยวชาญ ทำให้การปลดคนงานน่าจะมีน้อยมาก และยังไม่น่าจะกระทบต่อการส่งออกและการเจรจาขอกู้เงินจากญี่ปุ่น แต่ในทางกลับกันจะช่วยเร่งให้ญี่ปุ่นปล่อยกู้แก่ไทยเร็วขึ้น

ขณะที่การลงนามความตกลงความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น(JTEPA)จะช่วยเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ญี่ปุ่นให้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะทางด้านอุตสาหกรรมยานยนต์และเหล็กที่จะช่วยพัฒนาบุคลากรของไทยและผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางในการวิจัยและพัฒนายานยนต์

ด้านนายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)กล่าวว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นไม่น่าส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าสิ่งทอและอาหารไปญี่ปุ่นยังขยายตัวได้ดี เนื่องจากจีนยังมีปัญหาเกี่ยวกับอาหารปนเปื้อนทำให้ญี่ปุ่นหันมานำเข้าสินค้าจากไทยแทน ส่วนการลงทุนโดยตรง ไทยยังเป็นประเทศหลักในภูมิภาคที่ญี่ปุ่นให้ความสนใจ เนื่องจากเวียดนามมีปัญหาด้านเศรษฐกิจเช่นเดียวกัน

ส่วนการปรับคณะรัฐมนตรีมองว่าไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย เพราะขณะนี้ต้องดูปัจจัยภายนอกเป็นหลักและต้องระวังไม่ให้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ดังนั้นทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลไม่ว่าจะปรับไปเป็นใครก็ตามควรจะต้องเร่งเข้ามาแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะปี 52 ที่คาดว่าจะมีปัญหาการว่างงานและเลิกจ้างมากขึ้น รวมถึงปัญหาสภาพคล่องในระบบ

ขณะที่นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ผลการหารือร่วมกันระหว่างหอการค้าไทยและญี่ปุ่นในวันนี้จะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลปัญหาและอุปสรรคที่ไม่ใช่ปัญหาด้านภาษีที่มีต่อการซื้อขายหลังจากลงนามร่วมกัน เช่น การพัฒนาฝีมือแรงงาน แหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังให้ไทยสรุปสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจบัน ซึ่งนักลงทุนญี่ปุ่นต่างเข้าใจในพื้นฐานเศรษฐกิจและการเมืองอยู่แล้ว แต่ยอมรับว่าปัญหาความไม่ชัดเจนทางการเมืองอาจมีผลต่อการตัดสินใจด้านการลงทุนของญี่ปุ่นบ้าง โดยเป็นเพียงการชะลอดูสถานการณ์ก่อน แต่ระยะยาวก็ยังเดินหน้าลงทุนต่อไป

ส่วนนายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล กรรมการรองเลขาธิการ หอการค้าไทย ระบุว่าการที่ญี่ปุ่นออกมาประกาศว่าเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย ย่อมส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน เนื่องจากญี่ปุ่นเป็น 1 ใน 3 ของตลาดหลักที่นำเข้าสินค้าจากประเทศไทย หรือคิดเป็นมูลค่าปีละ 20,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะทำให้กำลังซื้อลดลงและส่งผลกระทบต่อการส่งออกของสินค้าไทย

ทั้งนี้ มองว่าการส่งออกในปีหน้าจะทำได้ลำบากมากยิ่งขึ้น แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะเติบโตในระดับ 10% ส่วนเศรษฐกิจของญี่ปุ่นคาดว่าจะใช้เวลาฟื้นตัวได้อย่างเร็ว 1 ปีถึง 1 ปีกว่า แต่ย่อมขึ้นอยู่กับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลญี่ปุ่นเองด้วย ขณะที่ภาคเอกชนไทยต้องเร่งปรับตัวด้วยการลดต้นทุนการผลิต แต่ไม่ถึงขั้นอยากให้ลดการจ้างงานลง หากมีความจำเป็นจริงก็อาจจะลดลงราว 2 แสนคน รวมทั้งรัฐบาลต้องเข้ามาช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEsโดยนำเงิน 50,000 ล้านบาท มาปรับปรุงขบวนการผลิตทั้งระบบ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ