นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า การช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะการบรรเทาภาวะโลกร้อน ถือเป็นหนึ่งในนโยบายของกระทรวงพลังงาน โดยมีเป้าหมายเพื่อลดอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจก(Green House Gas-GHG) จากภาคการผลิตไฟฟ้า ภาคการกลั่นน้ำมันให้ลดลง 15-20% รวมทั้งการส่งเสริมมาตรการต่างๆ ที่จะช่วยให้เกิดโครงการกลไกพัฒนาที่สะอาด(CDM) ด้านพลังงาน ซึ่งจะสามารถช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 1 ล้านตัน/ปี
ปัจจุบันมีโครงการด้านพลังงานที่ได้รับรอง CDM ทั้งสิ้น 46 โครงการ คิดเป็นปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้ 3.2 ล้านตันเทียบเท่าคาร์บอนไดออกไซด์ ส่วนใหญ่เป็นโครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าและความร้อนจากก๊าซชีวภาพ(Biogas) จากน้ำเสียของโรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลัง อุตสาหกรรมการสกัดน้ำมันปาล์ม และฟาร์มหมู คิดเป็นปริมาณ 1.49 ล้านตันเทียบเท่าคาร์บอนไดออกไซด์ หรือสัดส่วน 50% รองลงมาได้แก่โครงการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวล (Biomass) ได้แก่ กากอ้อย ใบอ้อย แกลบ ทะลายปาล์มเปล่า เศษไม้ยางพารา เศษไม้ยูคาลิป คิดเป็นปริมาณ 0.68 ล้านตันเทียบเท่าคาร์บอนไดออกไซด์ หรือสัดส่วน 20% เป็นต้น
รมว.พลังงาน ยังมอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) บมจ.ปตท.(PTT) และ บมจ.บางจากปิโตรเลียม(BCP) เตรียมศึกษาการลดอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 15 -20% ตามนโยบาย นอกจากนี้ตามแผนอนุรักษ์พลังงาน 15 ปีข้างหน้าก็คาดว่าจะช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้ 42 ล้านตัน
นายศิริธัญญ์ ไพโรจน์บริบูรณ์ ผู้อำนวยการ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก(องค์การมหาชน) ระบุว่า ราคาคาร์บอนเครดิตในตลาดโลกลดลงเล็กน้อยตามภาวะเศรษฐกิจโดยเหลือ 16 ยูโร/ตัน จากเดิม 20 ยูโร/ตัน แต่ความต้องการคาร์บอนเครดิตยังมีเป็นจำนวนมากส่วนใหญ่มาจากญี่ปุ่นและอียู
ปัจจุบันทั่วโลกมีการขายคาร์บอนเครดิตแล้ว 843 โครงการ ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้ 215 ล้านตัน และเป็นโครงการของไทย 2 โครงการ คือ การผลิตก๊าซชีวภาพของบริษัทสงวนวงศ์ และโรงไฟฟ้าชีวมวลของเอทีเพาเวอร์ ส่วนโครงการอื่นๆ อยู่ในระหว่างการพิจารณา