ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกมาตรการฉบับใหม่เพื่อฟื้นฟูตลาดที่อยู่อาศัยและคลี่คลายตลาดสินเชื่อโดยเพิ่มการปล่อยเงินกู้ให้กับผู้บริโภค รวมถึงเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กมูลค่ารวม 8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะเริ่มต้นใช้มาตรการดังกล่าวตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไป
แถลงการณ์ของเฟดระบุว่า เฟดจะดำเนินมาตรการดังกล่าวด้วยการกว้านซื้อหนี้และหลักทรัพย์ค้ำประกันจำนองมูลค่า 6 แสนล้านดอลลาร์ ส่วนอีก 2 แสนล้านดอลลาร์นั้นจะนำไปใช้ในเพื่อกระตุ้นการหมุนเวียนของสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคและธุรกิจขนาดเล็กซึ่งเจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายหวังว่ามาตรการเหล่านี้จะช่วยลดอัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อจำนองบ้านและสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค และจะช่วยสกัดกั้นการถอนเม็ดเงินลงทุนของภาคเอกชนได้อีกทางหนึ่ง
ด้านวิลเลี่ยม โพล อดีตประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์กล่าวให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ของบลูมเบิร์กว่า "เฟดพยายามที่จะอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบเพื่อคลายความตึงเครียดในตลาดที่อยู่อาศัยและตลาดสินเชื่อ และเห็นได้ชัดว่าเฟดและกระทรวงคลังเริ่มเดินหน้าใช้เงินจำนวนมากเพื่อคลี่คลายความเสี่ยงในตลาดสินเชื่อ"
นอกจากนี้ เฟดจะเข้าซื้อหนี้โดยตรงของแฟนนี เม, เฟรดดี้ แมค และธนาคารเพื่อสินเชื่อจำนองของรัฐฯมูลค่า 1 แสนล้านดอลลารวมทั้งซื้อหลักทรัพย์ค้ำประกันจำนองที่ออกโดยแฟนนี เม และเฟรดดี้ แมคมูลค่ากว่า 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแฟนนี เมและเฟรดดี้มีหนี้ค้างชำระประมาณ 1.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐและหลักทรัพย์ค้ำประกันจำนองมูลค่า 4.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ อัตราเงินกู้จำนองบ้านของสหรัฐยังไม่ปรับตัวลดลง แม้ว่าเฟดจะกระหน่ำลดดอกเบี้ยประเภทระยะสั้นลงมาอย่างหนัก ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรดิ่งลงแล้วเช่นกัน โดยเมื่อวานนี้ ดอกเบี้ยเงินกู้จำนองบ้านเฉลี่ยระยะ 30 ปีอยู่ที่ 5.98% ซึ่งขยับขึ้นเล็กน้อยจากปีที่แล้วในระดับ 5.95%
มาร์ก เกอร์ทเลอร์ ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐกิจของมหาวิทยาลัยนิวยอร์กกล่าวว่า "เป้าหมายในการออกมาตรการสินเชื่อในครั้งนี้พุ่งเป้าไปที่การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และกระตุ้นเม็ดเงินหมุนเวียนทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในระดับสูงจะฉุดรั้งการกู้ยืมเงินและอัตราการใช้จ่ายของผู้บริโภค"