นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า การที่ธนาคารกลางจีนตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่สุดในรอบ 11 ปีเมื่อวานนี้ สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลจีนวิตกกังวลว่าจีนมีความเสี่ยงที่จะถูกกระทบจากอัตราว่างงานที่พุ่งสูงขึ้น เหตุการณ์ประท้วงภายในประเทศ และเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างรุนแรงที่สุดในรอบเกือบ 20 ปี
เมื่อวานนี้ ธนาคารกลางจีนประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากระยะ 1 ปีลง 1.08 % ซึ่งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะ 1 ปีอยู่ที่ 5.58% และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากระยะ 1 ปีอยู่ที่ 2.52 % โดยจีนเร่งผ่อนคลายนโยบายทางการเงินเพื่อปกป้องเศรษฐกิจจากวิกฤติการเงินโลก โดยจีนมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก
นอกจากนี้ ธนาคารกลางจีนยังได้ประกาศดสัดส่วนเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์จำเป็นต้องกันสำรองไว้กับธนาคารกลาง เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์มีเงินมากขึ้นในการปล่อยกู้แก่ภาคธุรกิจที่ได้รับความเสียหายจากการร่วงลงของยอดส่งออกและจากภาวะตกต่ำในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ จีนได้ปรับลดสัดส่วนการกันสำรองสำหรับธนาคารขนาดใหญ่ลง 1% และสำหรับ ธนาคารขนาดเล็กลง 2%
เกล็น มากีร์ นักวิเคราะห์จากธนาคารโซซิเอเต เจนเนอราล เอสเอ ในฮ่องกง กล่าวว่า "จีนพยายามใช้มาตรการรับมือกับตัวเลขว่างงานที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงและเหตุการณ์ประท้วงภายในประเทศ สถานการณ์เกิดขึ้นในปัจจุบันถือเป็นความท้าทายครั้งสำคัญที่สุดเท่าที่จีนเคยเผชิญมานับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ประท้วงที่จตุรัสเทียนอันเหมินเมื่อปีพ.ศ.2532"
นายหยิน เหวยหมิน รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรบุคคลและความมั่นคงในสังคมของจีนเปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจีนกว่า 1,000 นายและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้ระดมกำลังต่อต้านการชุมนุมประท้วงของคนงานที่ถูกไล่ออก ส่งผลให้เกิดการปะทะกันดุเดือดและสร้างความเสียหายต่อบริษัทและทรัพย์สินในพื้นที่ตอนเหนือของมณฑลกวางตุ้ง ทั้งนี้ นายหยินกล่าวว่า "การประท้วงของคนงานเป็นหนึ่งในปัญหาที่สร้างความกังวลให้กับรัฐบาล ขณะที่ตัวเลขจ้างงานภายในประเทศมีแนวโน้มถดถอย"
นักวิเคราะห์จาก CLSA Asia Pacific Markets คาดการณ์ว่า ตัวเลขจีดีพีของจีนอาจขยายตัวเพียง 5.5% ในปีหน้า ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่ช้าที่สุดในรอบ 18 ปี เมื่อเทียบกับปีพ.ศ.2550 ที่ขยายตัว 11.9% อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนตั้งเป้าที่จะกระตุ้นอัตราจ้างงานให้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 8% เพื่อลดกระแสความตึงเครียดของคนงานทั่วประเทศ สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน