นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดว่า จากสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่ล่าสุดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยปิดล้อมสนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง ซึ่งส่งผลกระทบโดยภาพรวมทางเศรษฐกิจทั้งการค้าการท่องเที่ยวนั้น อาจทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)ของไทยในปี 52 ลดลงเหลือเพียง 2-3% จากเดิมที่เคยคาดไว้ว่าจะโตได้ 3-4%
ส่วนสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ มองแยกเป็น 2 กรณี กล่าวคือ กรณีแรกหากความวุ่นวายทางการเมืองสามารถยุติลงได้ภายในเดือนนี้ คาดว่าจะส่งผลให้จีดีพีปี 51 ขยายตัว 4.5-4.8% ระบบเศรษฐกิจโดยรวมสูญเสียราว 73,000-130,000 ล้านบาท, การท่องเที่ยวกระทบ 42,000-75,000 ล้านบาท, การส่งออกกระทบ 10,000-24,000 ล้านบาท, การลงทุนกระทบ 6,000-11,000 ล้านบาท และการบริโภคกระทบ 15,000-20,000 ล้านบาท
กรณีที่สอง หากความวุ่นวายทางการเมืองยืดเยื้อไปถึงสิ้นปี คาดว่าจะส่งผลให้จีดีพีปี 51 ขยายตัว 4.1-4.4% ระบบเศรษฐกิจโดยรวมสูญเสียราว 134,000-215,000 ล้านบาท, การท่องเที่ยวกระทบ 76,000-120,000 ล้านบาท, การส่งออกกระทบ 25,000-40,000 ล้านบาท, การลงทุนกระทบ 12,000-25,000 ล้านบาท และการบริโภคกระทบ 21,000-30,000 ล้านบาท
นายธนวรรธน์ ให้ความเห็นส่วนตัวโดยเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นให้ยุติลงโดยเร็ว ไม่ว่าจะเป็นวิธีการใดก็ตาม แต่ถ้าไม่สามารถแก้ปัญหาได้รัฐบาลก็ควรจะลาออกหรือยุบสภาเพื่อกู้ภาพลักษณ์ของประเทศกลับคืนมา
อย่างไรก็ดี แม้ทางเลือกในการประกาศยุบสภาจะมีผลกระทบต่อข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศที่รัฐบาลไทยเตรียมจะลงนามในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนช่วงเดือน ธ.ค. เพราะข้อตกลงต่างๆ ที่มีผลผูกพันระหว่างประเทศจำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อนการลงนามนั้น แต่การยุบสภาอาจจำเป็นต้องทำแม้ไทยจะเสียโอกาสทางการค้า ทั้งนี้ก็เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งให้ยุติโดยเร็ว และประเทศชาติจะได้ไม่เสียหายในระยะยาว
ส่วนแนวทางการแก้ปัญหาเศรษฐกิจนั้น นายธนวรรธน์ ยังสนับสนุนให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ควรพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในการประชุมครั้งหน้า นอกจากนี้จะต้องเร่งแก้ปัญหาด้านการท่องเที่ยวโดยสนับสนุนให้ไทยเที่ยวไทย รวมทั้งเร่งลงทุนในโครงการเมกะโปรเจ็กท์ต่างๆ