นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ(BBL) ระบุว่า หากสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศคลี่คลายลงได้เร็ว เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตได้ราว 2-3% แต่หากเหตุการณ์ยืดเยื้อการจะทำให้เศรษฐกิจโตได้ในระดับดังกล่าวคงเป็นเรื่องยาก แต่คงจะไม่ถึงขั้นติดลบ
สำหรับวิกฤติเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ครั้งนี้ถือเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและลึกซึ้ง ยากที่จะแก้ไขมากกว่าอดีต ดังนั้นจึงเสนอให้ภาคเอกชนต้องหันมาดูแลและประคองตัวเอง ขณะเดียวกันต้องเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่อประคองให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ นอกจากนี้ต้องปรับตัวโดยการควบคุมค่าใช้จ่าย ดูแลผลผลิต และการบริการลูกค้าอย่างมีคุณภาพมากขึ้น แต่เตือนให้ระวังการก่อหนี้เพราะขณะนี้ไม่ใช่สถานการณ์ของการเพิ่มหนี้
อย่างไรก็ดี ปีนี้ธนาคารกรุงเทพอยู่ระหว่างการจัดทำแผนธุรกิจปี 52 ซึ่งยังไม่ได้ข้อสรุปเป้าหมายสินเชื่ออย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าสินเชื่อน่าจะขยายตัวสูงกว่าจีดีพีราว 2-3%
นายโฆสิต ยังปฏิเสธกระแสข่าวที่ว่าธนาคารกรุงเทพมีส่วนสนับสนุนด้านการเงินให้แก่การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยชี้แจงว่าธนาคารเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีผู้ถือหุ้นจำนวนมาก ดังนั้น การดำเนินธุรกิจจะต้องยึดประโยชน์ของผู้ถือหุ้นเป็นหลัก ขณะที่ผู้บริหารอาชีพต้องรักษาองค์กรให้ดำเนินธุรกิจได้
"ที่มีข่าวว่าจะบอยคอทไม่จ่ายเงินกู้แบงก์และแห่ถอนเงินฝาก ก็อยากขอร้องผ่านสื่อว่าเรามีผู้ถือหุ้นที่จะต้องดูแล เป็นบริษัทในตลาด เราคงไม่สามารถโน้มเอียงไปกับการเมือง...ข่าวที่ออกมาคงไม่กระทบธุรกิจแบงก์ แต่เราต้องชี้แจง การเมืองก็เป็นเรื่องการเมือง นักรบแนวหน้าทางธุรกิจคือธุรกิจภาคเอกชน"นายโฆสิต กล่าว
พร้อมยอมรับว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากกระแสข่าวดังกล่าวมีไม่มาก ส่วนใหญ่ลูกค้าจะเข้ามาสอบถามเรื่องดังกล่าวแต่เมื่อได้รับคำชี้แจงจากเจ้าหน้าที่แล้วก็ได้รับคำตอบที่พอใจและไม่มีการถอนเงินอย่างผิดปกติ