นายนิพนธ์ พัวพงศกร ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในปี 52 มีโอกาสขยายตัวต่ำกว่า 2% น้อยกว่าการคาดการณ์ของหลายสำนักเศรษฐกิจประเมินไว้ประมาณ 2-3% เพราะมีปัจจัยลบหลายด้านเข้ามากระทบ และคาดว่าจะมีความรุนแรงมากกว่าทุกฝ่ายคาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะวิกฤตการเงินในสหรัฐฯ ได้ส่งผลกระทบค่อนข้างจะรุนแรง ทำให้สถาบันการเงินล้ม ธุรกิจหากู้เงินไม่ได้ การทำธุรกิจหยุดชะงัก ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯเกิดวิกฤต ก็จะกระทบต่อการส่งออกไทย เพราะสหรัฐฯเป็นตลาดหลักการส่งออกของไทย
"ขณะที่ภายในประเทศ มีปัญหาทางด้านการเมือง แต่เดิมคาดว่าไม่รุนแรง ก็กลับมีความรุนแรงมากขึ้น และไม่รู้ว่าจะยุติลงได้อย่างไร ผมไม่กลัวการปฏิวัติเท่ากับการนองเลือด แต่ก็ไม่อยากให้มีการปฏิวัติ ซึ่งทางออกนั้น คิดเล่นๆ หากพรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวจากรัฐบาล พรรคพลังประชาชนก็ไม่มีเสียงเพียงพอที่จะเป็นรัฐบาลต่อไปได้" นายนิพนธ์ กล่าวในการเสวนาเรื่อง "ธุรกิจไทยจะอยู่หรือไปปี 2552"
นายนิพนธ์ กล่าวว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้ทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงัก คนเก็บเงินสดไม่ยอมใช้จ่าย ราคาสินค้าก็ลดลงเรื่อยๆ เงินเฟ้อในประเทศปีหน้ามีโอกาสต่ำและถึงขั้นติดลบ หากเป็นเช่นนี้จะทำให้ไม่มีการลงทุน แต่จะรุนแรงเหมือนกับวิกฤตเศรษฐกิจในปี 40 หรือไม่ต้องติดตามดูว่ารัฐบาลจะเร่งใช้มาตรการในการดูแลเศรษฐกิจไทยได้ทันหรือไม่
สำหรับแนวทางในการรับมือวิกฤตของรัฐบาลในครั้งนี้ ควรใช้นโยบายด้านการคลังมากกว่านโยบายด้านการเงิน เพราะการใส่เงินลงในระบบเศรษฐกิจไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้น แม้คนจะมีเงินเพิ่มแต่ไม่จับจ่ายใช้สอยก็ไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้นนโยบายปรับลดดอกเบี้ยจึงไม่เกิดประโยชน์ เพราะแม้จะทำให้ระบบเศรษฐกิจมีเงินมากขึ้น แต่ก็ไม่เกิดการใช้จ่าย