นักวิเคราะห์กล่าวว่า เหตุก่อการร้ายครั้งรุนแรงในรอบ 15 ปีที่เมืองมุมไบ ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการเงินของอินเดีย ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศ ส่งผลให้นานาประเทศตั้งคำถามตามมาเกี่ยวกับความสามารถของอินเดียในการควบคุมดูแลความปลอดภัยในประเทศ และฟื้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวในระดับที่ชะลอตัวมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2547
เหตุการณ์โจมตีที่มุมไบซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 195 คน ได้กลายมาเป็นสถานการณ์ทางการเมืองที่ท้าทายสำหรับสภาภายใต้การนำของพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งตั้งเป้ากำหนดการเลือกตั้งทั่วประเทศขึ้นในเดือนพ.ค.ปีหน้า ทางด้านนายกรัฐมนตรีมานโมฮาน ซิงห์ ของอินเดียก็ได้เปลี่ยนตัวรัฐมนตรีความมั่นคงทันที หลังจากที่พรรคพาราติยา จานาทา คู่แข่งได้โจมตีรัฐบาลด้วยการลงโฆษณาทางหนังสือพิมพ์ที่ตีพิมพ์ภาพเหตุการณ์นองเลือด พร้อมกับข้อความ "Weak Government"
บลูมเบิร์กรายงานว่า เหตุการณ์โจมตีและกวาดล้างกลุ่มคนร้ายที่กินเวลา 60 ชั่วโมงที่โรงแรมหรูระดับ 5 ดาว ศูนย์กลางของชาวยิว และภัตตาคารผลักดันให้ลัทธิก่อการร้ายของอินเดียตกเป็นเป้าความสนใจของทั่วโลก และยังทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างกลุ่มชาวฮินดูและมุสลิม หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ได้เกิดเหตุระเบิดมาแล้ว 11 ครั้งและทำให้ประชาชนเสียชีวิตไป 300 ราย
ดี. สุบา จันทราน รองผู้อำนวยการสถาบันการศึกษาด้านสันติและความขัดแย้งของอินเดีย กล่าวว่า ภาพพจน์ของอินเดียได้รับผลกระทบอย่างมาก และจำเป็นต้องใช้แนวทางแก้ปัญหาร่วมกัน การโจมตีชาวต่างชาติยังทำให้ความสัมพันธ์กับต่างชาติที่ช่วยสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้ขยายตัวในอัตราเฉลี่ย 9% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานั้นสะดุดลงด้วยเช่นกัน
จาสมีท คาเออร์ นักศึกษาวัย 25 ปี กล่าวว่า นักลงทุนลังเลที่จะทำธุรกิจในอินเดียหลังเกิดเหตุ ธุรกิจท่องเที่ยวจะได้รับผลกระทบ เนื่องจากนักลงทุนคงไม่เข้าไปทำธุรกิจในประเทศที่ไม่มีความปลอดภัย