ยอดขายรถยนต์ของสหรัฐมีแนวโน้มปรับตัวลดลงในเดือนพ.ย.ซึ่งจะทำสถิติร่วงลงเป็นเดือนที่ 13 ติดต่อกัน เนื่องจากผู้ซื้อยังไม่ต้องการซื้อรถใหม่ในยามที่เศรษฐกิจเผชิญภาวะอ่อนแอ ขณะเดียวกันความเคลื่อนไหวของค่ายรถ "บิ๊กทรี" อย่างเจนเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ป (จีเอ็ม), ฟอร์ด มอเตอร์ โค และไครสเลอร์ แอลแอลซีที่กำลังขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลได้กลายเป็นชนวนที่ทำให้เกิดความวิตกกังวลว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ของสหรัฐเผชิญภาวะล้มละลาย
นอกจากตลาดรถยนต์ของสหรัฐจะซบเซาแล้ว นักวิเคราะห์มองว่าค่ายรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น อาทิ โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป และฮอนด้า มอเตอร์ โค ก็มียอดขายที่ตกต่ำลงด้วยเช่นกัน เนื่องจากผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่นขณะที่ตลาดสินเชื่ออยู่ในภาวะตึงตัว
นักวิเคราะห์จากโพลล์ของสำนักข่าวบลูมเบิร์กคาดว่า ยอดขายรถใหม่ของสหรัฐประจำเดือนพ.ย.อาจร่วงลง 32% จากปีที่แล้ว สู่ระดับ 11 ล้านคัน หลังจากที่ยอดขายในเดือนต.ค.อยู่ที่ 10.6 ล้านคัน โดยจีเอ็มอาจรายงานยอดขายที่ร่วงลง 33% ในเดือนพ.ย. ส่วนฟอร์ดอาจมียอดขายตกลง 32% ขณะที่ยอดขายของไครสเลอร์อาจดิ่งลงถึง 44% ด้านยอดขายโตโยต้ามีแนวโน้มทรุดลง 27% และฮอนด้าอาจรายงานยอดขายที่รูดลง 22%
"ความเคลื่อนไหวในแง่ลบกำลังลุกลามไปทั่วระบบเศรษฐกิจ" ทิม ลิบบี้ นักวิเคราะห์จากบริษัทเจ.ดี.พาวเวอร์ แอนด์ แอซโซซิเอทส์ กล่าวพร้อมทั้งคาดว่า ยอดขายของค่ายรถยนต์รายใหญ่จะร่วงลงอย่างน้อย 10%
ค่ายรถของสหรัฐจะรายงานยอดขายในวันพรุ่งนี้และจะเสนอมาตรการให้ทางสภาคองเกรสพิจารณา ซึ่งแผนการดังกล่าวจะระบุถึงวิธีการใช้เงินช่วยเหลือของรัฐบาลเพื่อทำกำไรกลับคืนสู่บริษัท โดยริก วาโกเนอร์ ซีอีโอของจีเอ็มกล่าวว่า ค่ายรถยนต์จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือก่อนที่นายบารัค โอบามา จะขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอย่างเป็นทางการ ขณะที่วิกฤตสินเชื่อฉุดรั้งยอดขายรถในสหรัฐ
ทั้งนี้ โกลด์แมน แซคส์ได้ปรับลดประมาณการณ์ยอดขายรถยนต์สหรัฐในปีนี้ลงเหลือ 13.4 ล้านคันเมื่อเทียบกับที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 13.8 ล้านคัน และคาดว่าในปีหน้ายอดขายจะอยู่ที่ 11 ล้านคันจากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ในระดับ 13 ล้านคัน