นายหลิว จีเว่ย ประธานกองทุนบริหารความมั่งคั่งของรัฐบาลจีน (CIC) ของรัฐบาลจีนเปิดเผยว่า CIC ซึ่งทุ่มเงินซื้อหุ้นมอร์แกน สแตนลีย์กว่า 5 พันล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว เริ่มไม่ให้ความสนใจที่จะเข้าซื้อหุ้นในสถาบันการเงินต่างชาติในขณะนี้ เพราะต้องการรอจนกว่ารัฐบาลทั่วโลกจะใช้มาตรการยับยั้งเศรษฐกิจถดถอยและวิกฤตการณ์การเงิน
ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งทั่วโลกที่เผชิญวิกฤตการณ์ทางการเงินต่างแสดงความต้องการที่จะให้ CIC ใช้เม็ดเงินในกองทุนซึ่งมีอยู่มากกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ เข้าซื้อหุ้นเพื่อพยุงสถานะของสถาบันการเงิน อย่างไรก็ตาม นายหลิวกล่าวว่า CIC ยังไม่ต้องการเข้าลงทุนในสถาบันการเงินต่างชาติ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังผันผวนและไร้ทิศทาง นอกจากนี้ การที่รัฐบาลในหลายประเทศเปลี่ยนแปลงนโยบายอยู่ตลอดเวลา ยิ่งทำให้ความเชื่อมั่นที่มีต่อสถาบันการเงินต่างประเทศถูกสั่นคลอนลงด้วย
"รัฐบาลในหลายประเทศทั่วโลกเปลี่ยนแปลงนโยบายกันแทบจะทุกสัปดาห์ ซึ่งทำให้เราไม่อยากเข้าลงทุนในสถาบันการเงินต่างชาติ เพราะไม่ต้องการเสี่ยงกับเรื่องนี้ เราจึงขอรอดูลู่ทางต่อไปสักระยะหนึ่งเพื่อให้มั่นใจมากกว่านี้" นายหลิวกล่าวในที่ประชุมที่ฮ่องกงซึ่งจัดขึ้นโดยอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน
เมื่อปีที่แล้ว CIC ได้เข้าซื้อหุ้นในวาณิชธนกิจมอร์แกน สแตนลีย์เป็นวงเงินสูงถึง 5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดของ CIC อีกทั้งเข้าลงทุนกว่า 100 ล้านดอลลาร์ในบริษัท วีซ่า อิงค์ และลงทุนในบริษัท เจซี ฟลาวเวอร์ ซึ่งเป็นไพรเวทอิควิตี้รายใหญ่ของสหรัฐ
"CIC พยายามเข้าลงทุนในสถาบันการเงินทั่วโลกเพื่อคลี่คลายวิกฤตการณ์ทางการเงิน รวมถึงกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนา แต่ทุกคนไม่ควรตั้งความหวังไว้ที่จีนเพียงอย่างเดียว เพราะจีนคงไม่อาจช่วยโลกให้รอดได้โดยลำพัง แม้ว่าเศรษฐกิจจีนขยายตัวรวดเร็วที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก แต่จีนเองก็มีภารกิจหลักที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน รวมถึงการกระตุ้นอัตราการอุปโภคบริโภคภายในประเทศและการลดพึ่งพาการส่งออกสินค้า การปฏิรูปสิ่งเหล่านี้ทำได้ยากมาก และคงต้องใช้เวลา 1-2 ปีจึงจะประสบความสำเร็จ" นายหลิวกล่าว สำนักข่าวเอพีรายงาน