ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่า ตัวเลขสินเชื่อผู้บริโภคของสหรัฐประจำเดือนต.ค.ปรับตัวลดลง 1.6% ต่อปี หรือ 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับที่ร่วงลงมากที่สุดตั้งแต่เดือนส.ค.ที่ผ่านมา และยังสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่า ตัวเลขสินเชื่อผู้บริโภคในช่วงเวลาดังกล่าวจะเพิ่มขึ้น 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ตัวเลขสินเชื่อที่ลดลงในสัดส่วน 1.6% ส่งผลให้ยอดสินเชื่อผู้บริโภคโดยรวมในเดือนต.ค.อยู่ที่ระดับ 2.58 ล้านล้านดอลลาร์โดยเฟดไม่ได้คำนวณถึงยอดเงินกู้ที่ใช้ในภาคอสังหาริมทรัพย์ เช่น ตลาดปล่อยกู้จำนองมาประเมินในตัวเลขหนี้สินของผู้บริโภค
รายงานของเฟดระบุว่า ผู้บริโภคกู้ยืมเงินประเภทหมุนเวียนในเดือนต.ค. ซึ่งรวมถึงหนี้จากบัตรเครดิตลดลง 0.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งนับเป็นสถิติการร่วงลงอย่างหนักจากระดับที่ขยายตัวขึ้น 3.1% ในเดือนก่อนหน้านี้ ส่วนความต้องการขอสินเชื่อเพื่อการซื้อรถ การพักผ่อน การศึกษา และอื่นๆทรุดตัวลง 2.5% เมื่อเทียบกับที่พุ่งสูงขึ้น 3.2% ในเดือนก.ย.
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตัวเลขสินเชื่อผู้บริโภคซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 2 ใน 3 ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหมดของสหรัฐนั้นถือเป็นตัวสะท้อนภาพรวมการใช้จ่ายผู้บริโภคและเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
ทั้งนี้ จากแรงกดดันทางเศรษฐกิจรอบด้าน อาทิ ตลาดแรงงานที่ซบเซา ราคาบ้านที่ลดลง และวิกฤตสินเชื่อที่เลวร้ายได้ทำให้ชาวอเมริกันปรับลดการใช้จ่ายลง 3.7% ในไตรมาสสามของปีนี้ ซึ่งเป็นตัวเลขการใช้จ่ายรายไตรมาสที่ร่วงลงหนักสุดนับตั้งแต่ช่วงไตรมาสสองของปี 2523