นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า การควบรวมและการซื้อกิจการอาจซบเซาสุดในรอบ 4 ปีในปีหน้า และจะเป็นการควบรวมและซื้อกิจการด้วยความจำเป็นเท่านั้น
บาร์เคลย์ แคปิตอล และ โนมูระ โฮลดิงส์ อิงค์ เปิดเผยว่า มูลค่าของการทำข้อตกลงควบรวมหรือซื้อกิจการอาจลดลงกว่า 30% ในปีหน้า เหลือ 2 ล้านล้านดอลลาร์ โดยตั้งแต่ต้นปี 2550 จนถึงปัจจุบันมูลค่าการเทคโอเวอร์ก็ลดลงแล้วกว่า 36% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว
"สภาพการณ์ดังกล่าวถือว่าเลวร้ายที่สุดในรอบหลายปี หรืออาจแย่ยิ่งกว่าช่วงต้นทศวรรษ 1990 และอาจแย่พอๆกับช่วงกลางทศวรรษ 1970" ฟิลิป คีวิล จากบริษัทที่ปรึกษา คอมพาส แอดไวเซอร์ส แอลแอลพี และอดีตหัวหน้าฝ่ายควบรวมกิจการประจำภูมิภาคยุโรปของบริษัท ซาโลมอน สมิธ บาร์นีย์ อิงค์ กล่าว "ในทางตรงกันข้าม การควบรวมและซื้อกิจการเพราะความจำเป็นจะมีมากขึ้น อย่างการรวมกิจการของธนาคารและบริษัทประกันจากการบังคับของรัฐบาล"
ข้อมูลจากสำนักข่าวบลูมเบิร์กเผยว่า กว่า 1 ใน 3 ของการเทคโอเวอร์ครั้งใหญ่สุด 20 ครั้งในไตรมาส 4 เป็นการเทคโอเวอร์เพราะถูกรัฐบาลบังคับ ตัวอย่างเช่น รัฐบาลเนเธอร์แลนด์เทคโอเวอร์สินทรัพย์บางส่วนของบริษัทฟอร์ทิสในเนเธอร์แลนด์ หลังฟอร์ทิสขาดเงินทุนระยะสั้นในเดือนต.ค. หรือบริษัทบีเอ็นพี พาริบาส เอสเอ เทคโอเวอร์บริษัทในเครือฟอร์ทิสในเบลเยียมและลักเซมเบิร์ก