นายธนิต โสรัตน์ รองประธาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการประชุมหาแนวทางเยียวยาภาคธุรกิจหลังเหตุการณ์ปิดสนามบินสุวรรณภูมิของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยเรียกร้องให้ภาครัฐช่วยเหลือธุรกิจโลจิสติกส์ที่ได้รับผลกระทบ ด้วยการปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยอัตราพิเศษร้อยละ 1 ต่อปี และลดภาษีลงครึ่งหนึ่ง อีกทั้งยกเว้นค่าธรรมเนียมของโลจิสติกส์
นอกจากนี้อยากให้ภาครัฐมีแผนความพร้อมฉุกเฉิน หรือ Emergency plan เพื่อป้องกันการเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยอย่างที่ผ่านมา โดยทาง ส.อ.ท. จะนำผลการหารือดังกล่าวจัดทำเป็นเอกสาร และเสนอเข้าสู่ที่ประชุม คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. และจะนำเสนอให้รัฐบาลช่วยพิจารณาต่อไป
นายธนิต กล่าวว่า ขณะนี้ ส.อ.ท.ได้รับตัวเลขมูลค่าความเสียหายจากภาคอุตสาหกรรมอัญมณีและโลจิสติกส์ที่ได้รับความเสียหายจากการปิดสนามบินประมาณ 2.7 หมื่นล้านบาท และยังรอตัวเลขจากภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และสินค้าเกษตร ที่คาดว่าจะส่งตัวเลขความเสียหายเข้ามาภายในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะสามารถประเมินความเสียหายทั้งหมดได้
อย่างไรก็ตาม ทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์)ประเมินตัวเลขความเสียหายของภาคธุรกิจทั้งหมด 7 วัน อยู่ที่ 137,000 ล้านบาท ขณะที่มีรายงานข่าวว่า บมจ. ท่าอากาศยานไทย (AOT) หรือ ทอท. ได้แจ้งความร้องทุกข์เรียกค่าเสียหายกับ 13 แกนนำ พันธมิตร แล้ว จำนวน 3.5 หมื่นล้านบาท
นายธนิต กล่าวว่า รัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศจะมาจากขั้วใดก็ได้ แต่เมื่อเข้ามาแล้วต้องสร้างความสมานฉันทน์ให้เกิดขึ้น ไม่มีการแบ่งขั้ว รวมทั้งต้องเร่งสร้างความชื่อมั่นให้เกิดขึ้น และเร่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่ทำให้การส่งออกในปีหน้าอาจจะขยายตัวเพียง 4-5% ตลอดจนต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเร่งดำเนินการงบกลางปี 1 แสนล้านบาทให้ลงถึงรากหญ้าโดยเร็ว เพื่อป้องกันปัญหาการว่างงานที่จะสูงถึง 1 ล้านคนในปีหน้า
ส่วนกรณี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มีความเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่นั้นยังไม่สามารถตอบได้ เพราะการเมืองยังจับขั้วไม่เสร็จ แต่คุณสมบัติผู้ที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องไม่ก้าวร้าว มีความรู้ติดต่อสื่อสารกับต่างประเทศได้ดี และมีความสามารถในการคัดสรรผู้ที่จะมาดูแลเศรษฐกิจของประเทศ