กระทรวงพลังงานสหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 5 ธ.ค.เพิ่มขึ้น 400,000 บาร์เรล หรือ 0.1% สู่ระดับ 320.8 ล้านบาร์เรล ซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่าปีที่แล้วประมาณ 7.7% แต่ยังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลล์ของแพลท์ส เอนเนอร์จี คาดว่าจะพุ่งขึ้น 2.7 ล้านบาร์เรล
ขณะที่สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 3.8 ล้านบาร์เรล หรือ 1.9% แตะระดับ 202.7 ล้านบาร์เรล ซึ่งสูงกว่าระดับของปีที่แล้วราว 1.8% และเพิ่มขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 1.4 ล้านบาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันกลั่นซึ่งรวมถึงน้ำมันฮีทติ้งออยล์และเชื้อเพลิงดีเซล พุ่งขึ้น 5.6 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 130.6 ล้านบาร์เรล ตรงข้ามกับที่คาดว่าจะลดลง 1.6 ล้านบาร์เรล
สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐ (EIA) คาดการณ์ว่า ความต้องการพลังงานในสหรัฐอาจร่วงลง 1.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือ 5.4% ในปีนี้ ซึ่งเป็นการร่วงลงรายปีในระดับสูงกว่า 1 ล้านบาร์เรลต่อวันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปีพ.ศ.2523 นอกจากนี้ EIA ยังปรับลดตัวเลขคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันในตลาดสหรัฐและตลาดโลกสำหรับปีพ.ศ.2552 ด้วย
สต็อกน้ำมันข้างต้นไม่นับรวมกับคลังน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ (Strategic Petroleum Reserve) ของสหรัฐซึ่งปัจจุบันมีน้ำมันดิบสำรองอยู่ประมาณ 689 ล้านบาร์เรล แต่ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช แห่งสหรัฐ ประกาศให้ปรับเพิ่มคลังน้ำมันสำรองประเภทดังกล่าวขึ้นสู่ระดับ 1.5 ล้านบาร์เรลภายในปี 2570 เพื่อรับมือกับภาวะติดขัดที่อาจเกิดจากภัยพิบัติทางธรรมชาติและการโจมตีของผู้ก่อการร้าย สำนักข่าวเอพีรายงาน