สำนักงานสถิติจีนเปิดเผยว่า ดัชนี CPI เดือนพ.ย.ขยายตัว 2.4% เมื่อเปรียบเทียบกับระดับปีที่แล้ว นับเป็นตัวเลขเงินเฟ้อที่ชะลอตัวที่สุดในรอบเกือบ 2 ปี และเป็นการส่งสัญญาณของการขยายตัวที่ดิ่งลงและเศรษฐกิจจีนที่มีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับภาวะเงินฝืด
ดัชนี CPI เดือนพ.ย.นี้อยู่ในระดับต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ 18 รายที่บลูมเบิร์ก นิวส์ ได้สำรวจความคิดเห็นไว้และคาดว่า ดัชนี CPI จะอยู่ที่ 3.3%
ยอดส่งออกของจีนเองก็ร่วงลงเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปีเมื่อเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา ส่วนการนำเข้าสินค้าร่วงลง และดัชนีราคาผู้ผลิตก็ขยายตัวขึ้นอย่างน้อยสุดในรอบ 2 ปี สถานการณ์การชะลอตัวลงเหล่านี้ยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้กับผู้บริหารระดับนโยบายของจีนให้ลดดอกเบี้ยครั้งใหญ่ ขยายขอบเขตแผนการใช้งบประมาณ 4 ล้านล้านหยวน และปล่อยเงินหยวนอ่อนค่า
หลี่ เหว่ย นักเศรษฐศาสตร์ของสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด แบงค์ กล่าวว่า เงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงนี้ทำให้ธนาคารกลางจีนมีแนวโน้มที่จะลดดอกเบี้ยมากขึ้น เพื่อกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และหากเกิดภาวะเงินฝืดขึ้นเราก็คงจะได้เห็นกลุ่มผู้ผลิตลดราคาสินค้า รายได้ที่อ่อนตัว และการลดค่าแรง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการบริโภคในที่สุด
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ร่วงลงและต้นทุนอาหารที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยทำให้เงินเฟ้ออ่อนตัวลง หลังจากที่ทะยานแตะระดับสูงสุดในรอบ 12 ปีที่ 8.7% เมื่อเดือนก.พ.ที่ผ่านมา
ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น ทำให้ความต้องการสินค้าจีนลดลง ขณะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่อ่อนตัวก็มีส่วนทำให้การลงทุน การก่อสร้าง และการบริโภคชะลอตัวลงเช่นกัน