เควิน รัดด์ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียเปิดเผยในวันนี้ว่า การที่ ริโอ ทินโต ซึ่งเป็นบริษัทสินค้าโภคภัณฑ์รายใหญ่ของประเทศ ประกาศปลดพนักงานชั่วคราว 14,000 คนทั่วโลก ถือเป็นการตอกย้ำว่า เศรษฐกิจออสเตรเลียเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากมากขึ้น หลังจากได้รับผลกระทบอยู่แล้วจากวิกฤตการณ์การเงินที่ลุกลามไปทั่วโลก และเป็นการส่งสัญญาณว่าภาวะเฟื่องฟูในตลาดแรงงานของออสเตรเลียได้สิ้นสุดลงแล้ว
รัดด์กล่าวว่า ภารกิจของรัฐบาลออสเตรเลียในขณะนี้คือการใช้มาตรการที่จำเป็นเพื่อสร้างเสถียรภาพในกับระบบเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงการจัดสรรงบประมาณ 1.04 หมื่นล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย ตามแผนยุทธศาสตร์สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ให้กับประชาชนในรูปแบบของเช็คเงินสด เพื่อให้ประชาชนนำเงินดังกล่าวไปใช้จ่ายในช่วงก่อนเทศกาลคริสต์มาส ซึ่งจะช่วยจำกัดผลกระทบในระบบเศรษฐกิจของออสเตรเลียได้
ด้านนายทอม อัลบานีส ซีอีโอริโอทินโต กำลังถูกกดดันอย่างหนักหลังจากปฏิเสธไม่ยอมควบรวมกิจการกับบริษัท บีเอชพี บิลลิตัน ซึ่งเป็นบริษัทเหมืองรายใหญ่สุดของโลก โดยริโอทินโตได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ทรุดตัวลงอย่างหนักเนื่องจากเศรษฐกิจโลกถดถอยลง ซึ่งส่งผลให้ริโอทินโตแบกรับหนี้สินไว้ถึง 3.89 หมื่นล้านดอลลาร์ และฉุดราคาหุ้นริโอทินโตดิ่งลง 38% ในการซื้อขายที่ตลาดหุ้นลอนดอน
ริชาร์ด ล็อควู๊ด นักวิเคราะห์จากบริษัท นิวซิตี้ อินเวสท์เมนท์ กล่าวกับสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า "ภาพของริโอทินโตดูเหมือนว่าเป็นผู้ชนะเมื่อปฏิเสธข้อเสนอการควบรวมกิจกับบีเอชพี บิลลิตัน แต่จริงๆแล้วริโอทินโตเป็นผู้แพ้ในเกมธุรกิจ เพราะริโอทินโตเลือกที่จะพยุงกิจการด้วยลำแข้งของตนเองในยามที่เศรษฐกิจโลกถดถอยเช่นนี้"