เฮดจ์ฟันด์ทั่วโลกขาดทุนอ่วม $6.4 หมื่นล้านในเดือนพ.ย.หลังศก.ยุโรป,เอเชีย,สหรัฐถดถอย

ข่าวต่างประเทศ Thursday December 11, 2008 15:12 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

Eurekahedge ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้คำปรึกษาด้านกฎหมายแก่บริษัทและสถาบันการเงินทั่วโลก เปิดเผยว่า เฮดจ์ฟันด์ทั่วโลกขาดทุนอย่างหนักถึง 6.4 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นสถิติที่ปรับตัวลงติดต่อกัน 6 เดือน เนื่องจากเศรษฐกิจในทวีปเอเชีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกาเข้าสู่ภาวะถดถอย

ดันแคน สมิธ นักวิเคราะห์ของ Eurekahedge กล่าวกับบลูมเบิร์กว่า "ผลการดำเนินงานของกลุ่มเฮดจ์ฟันด์ทั่วโลกทรุดตัวลงอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากสถาบันการเงินเพิ่มมาตรการปล่อยกู้จนทำให้เฮดจ์ฟันด์มีปัญหาในการระดมทุน และหากคำนวณตั้งแต่ต้นปี เฮดจ์ฟันด์ขาดทุนไปแล้วกว่า 13% เนื่องจากการจ้างงานของธุรกิจเฮดจ์ฟันด์ลดลงและนักลงทุนแห่ถอนเงินออกจากกองทุนเฮดจ์ฟันด์อย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้เฮดจ์ฟันด์หลายแห่ง รวมถึง ซิทาเดล อินเวสต์เมนท์ กรุ๊ป ซึ่งดำเนินกิจการโดยเคนเนธ กริฟฟิน ถูกบีบให้ระดมุทุน จำกัดการถอนเงิน และลดการจ้างงาน

ข้อมูลของ Eurekahedge บ่งชี้ว่า มูลค่าสินทรัพย์ของกลุ่มเฮดจ์ฟันด์พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย. ขณะเดียวที่มอร์แกน สแตนลีย์ คาดว่าอัตราการลงทุนของกลุ่มเฮดจ์ฟันด์จะร่วงลง 45% ภายในปลายเดือนนี้

ส่วนเมื่อเดือนก.ย.ที่ผ่านมา Eurekahedge ระบุว่า เฮดจ์ฟันด์ทั่วโลกขาดทุนอย่างหนักเนื่องจากรัฐบาลของหลายประเทศมีคำสั่งห้ามทำช็อตเซลล์ หลังจากตลาดการเงินทั่วโลกผันผวนอย่างหนัก ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อรายได้ของเฮดจ์ ฟันด์ด้วย

เมื่อวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทั้งในสหรัฐและอังกฤษ ประกาศห้ามทำช็อตเซลล์หุ้นในกลุ่มการเงิน เพื่อยับยั้งกระแสเก็งกำไรไม่ให้สร้างความเสียหายต่อตลาดการเงิน หลังจากเลห์แมน บราเธอร์ส ล้มละลาย และอเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป (AIG) ขอกู้เงินจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ในตลาดวอลล์สตรีทเชื่อว่า คำสั่งห้ามทำช็อตเซลล์ในตลาดหุ้นนิวยอร์กที่สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 8 ต.ค.ที่ผ่านมา จะเปิดทางให้กลุ่มเฮดจ์ฟันด์เข้ามาซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้อย่างคึกคักขึ้น และจะช่วยลดภาวะผันผวนในตลาดได้ แต่คำสั่งห้ามทำช็อตเซลล์ในตลาดหุ้นอังกฤษยังคงมีผลบังคับใช้ถึงสิ้นปีนี้



เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ