นายวิลลี แทม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย จำกัด หรือ HSBC กล่าวว่า ธนาคารมีความสนใจที่จะเข้าลงทุนในสถาบันการเงินไทยที่มีศักยภาพและมีระบบการทำงานสอดคล้องกับ HSBC รวมทั้งหาพันธมิตรในการเพิ่มศักยภาพหากโอกาสเอื้ออำนวยและได้ราคาที่เหมาะสม ก็อาจจะเข้าไปร่วมทุนด้วย
สำหรับภาวะเศรษฐกิจในช่วงปีหน้านั้น ธนาคารมองว่าเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวจะส่งผลให้ผลกระทบในเชิงลบต่อธุรกิจส่งออก ท่องเที่ยว และการลงทุน ดังนั้น ธุรกิจจึงจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรองรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นด้วย
ด้านผลการดำเนินธุรกิจของกลุ่มธนาคารในช่วงไตรมาส 3 ปี 2551 นั้น ธนาคารมีผลกำไรก่อนหักภาษีสูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนมูลค่าท่างการตลาดอยู่ที่ 127.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ ธนาคารได้ประกาศจ่ายปันผลในไตรมาส 3 ปี 51 มูลค่า 0.18 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น
นอกจากนี้ ด้านความแข็งแกร่งของสถานะการเงินของธนาคารนั้น ถือว่าเป็นธนาคารที่มีสภาพคล่องสูงมาก โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นที่ 1 ประมาณ 8.9% รวมทั้งมีการเพิ่มทุนอีกประมาณ 2,450 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายตัวทางธุรกิจดังกล่าว และยังได้ เข้าซื้อกิจการธนาคารอิโคโนมิแห่งอินโดนีเซียด้วย
ปัจจุบัน HSBC มีสัดส่วนรายได้มาจากช่องทางการรับฝากสินทรัพย์ 15% ช่องทางตลาดเงินและตลาดทุน 40% และจากช่องทางลูกค้ารายใหญ่และรายย่อย 45%
นายวิลลี แทม ยังกล่าวฝากให้รัฐบาลใหม่ ว่า ควรเร่งดำเนินการโครงการเมกะโปรเจ็คต์โดยเร็ว เพื่อเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาวะที่ถดถอย