(เพิ่มเติม) ส.อ.ท.แนะ SMEs ปรับตัวใช้เทคโนโลยีลดแรงงานมองปีหน้าเลวร้ายกว่าปี 40

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday December 23, 2008 14:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายนิพนธ์ สุรพงษ์รักเจริญ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และประธานที่ปรึกษา โครงการสร้าง “CFO มืออาชีพ" กล่าวว่า ในปี 52 ถือเป็นปีที่ยากลำบากสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งคาดว่าสถานการณ์ความรุนแรงในครั้งนี้จะเลวร้ายมากกว่าเมื่อครั้งวิกฤตเศรษฐกิจปี 40 เนื่องจากครั้งนี้วิกฤติเกิดขึ้นในขอบข่ายทั่วโลก จากปัญหาวิกฤตการเงินลุกลามสู่ภาคการผลิตและการจ้างงาน

ขณะที่สถานการณ์การเมืองในประเทศก็ยังส่อเค้ามีความขัดแย้งที่รุนแรงอยู่ ทำให้กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่มีเงินทุนไม่มาก และขาดการบริหารการจัดการที่ดี อาจต้องเลิกกิจการ หรือจำเป็นต้องปลดคนงานเพื่อความอยู่รอดทางธุรกิจ

ดังนั้น ผู้ประกอบการ SMEs ต้องเร่งปรับตัวเพื่อความอยู่รอด โดยต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิต จากเดิมที่ธุรกิจพึ่งพาการใช้แรงงานคนเป็นจำนวนมาก ก็ต้องนำระบบเทคโนโลยีมาช่วยในการลดต้นทุนสินค้า และเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันกับตลาดต่างประเทศ

“ในปีหน้าวิกฤตจะเกิดจากกำลังซื้อของคนทั่วโลกลดลง ทำให้มีการสั่งผลิตสินค้าลดลง ฉะนั้นผู้ประกอบการ SMEs ที่มีตลาดส่งสินค้าไปยังต่างประเทศ ต้องเร่งเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตสินค้า ตั้งแต่การพัฒนาบุคลากรให้มีประสิทธิภาพ การลดต้นทุนในการผลิตโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการผลิต การหาตลาดส่งออกใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ และการสร้าง ตราสินค้าของตนเองเพื่อเพิ่มกำไรให้มากขึ้น"นายนิพนธ์ กล่าว

ขณะที่ภาครัฐจะต้องเร่งเข้ามาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs โดยเป็นเจ้าภาพรวบรวมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหามาอยู่ในศูนย์เฉพาะกิจ เพื่อให้เกิดความรวดเร็ว จากเดิมการแก้ปัญหาต่างๆ ของภาครัฐจะเป็นไปแบบแต่ละกระทรวงต่างคนต่างทำ ส่งผลให้ปัญหาหมักหมมจนยากเกินกว่าจะแก้ไขหรือขาดงบประมาณในการแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรม

ส่วนการพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs ให้เข้มแข็งในระยะยาวนั้น ภาครัฐควรจัดตั้งสำนักวิจัยระบบอุตสาหกรรม เพื่อเป็นผู้นำในการทำวิจัยขีดความสามารถของแต่ละอุตสาหกรรม ใช้เป็นข้อมูลในการกำหนดแผนยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมของประเทศ รวมถึงให้การสนับสนุนด้านองค์ความรู้ในการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตสินค้า เพื่อแข่งขันกับตลาดต่างประเทศได้ เนื่องจากที่ผ่านมา ภาครัฐยังขาดข้อมูล ส่งผลให้อุตสาหกรรมของไทยในประเทศขาดทิศทางในการพัฒนาหรือขาดการสนับสนุน ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของแต่ละภาคอุตสาหกรรมลดลงมาก

“ภาครัฐต้องให้ความสำคัญกับการทำวิจัย ในการใช้เป็นข้อมูลในการกำหนดทิศทางของภาคอุตสาหกรรมในประเทศ และกำหนดเป็นแผนยุทธศาสตร์ของแต่ละภาคธุรกิจ เพื่อให้เกิดพลังในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมของประเทศ และยังใช้ฐานข้อมูลที่ดี เพื่อนำมาวางแผนในการแก้ปัญหาของแต่ละภาคอุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า" รองประธานสภาอุตสาหกรรมฯ กล่าว

ด้านนายเอกชัย นิตยาเกษตรวัฒน์ คณบดี NIDA Business และประธานที่ปรึกษาโครงการสร้าง"CFO มืออาชีพ"และที่ปรึกษาสถาบันวิจัยนครหลวงไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ SME กำลังเผชิญปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและลำบาก เนื่องจากความเข้มงวดในการปล่อยวงเงินในการกู้ของธนาคารพาณิชย์ ขณะที่บางรายยังลดเป้าการเติบโตของสินเชื่อด้วยจากผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนสูงและส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย

ถึงแม้จะมีแนวโน้มว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)จะมีการลดดอกเบี้ยอีก 0.5-1% เพื่อพยุงเศรษฐกิจแต่ก็ยังทำให้การเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ลำบาก หากเป็นอย่างนั้นมองว่าอาจจะทำให้เห็นการปิดกิจการลงจาก SMEs ที่มีอยู่ในระบบประมาณ 7 แสนกว่าราย โดยมี SME ที่ต้องการทุนเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนและการปรับปรุงการผลิตสูงกว่า 6 ล้านล้านบาทแต่โอกาสที่จะได้เพียง 2 ล้านล้านบาทเท่านั้น

สิ่งที่จะช่วย SMEs ได้คือการอัดฉีดเม็ดเงินของภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น การสนับสนุนการบริโภคและการลงทุนการเปิดเสรีทางการค้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ SMEs คาดหวังและยังทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวด้วย โดยหากรัฐบาลเพิ่มงบประมาณขาดดุลเป็น 5-6 แสนล้านบาท และการลงทุนเมกะโปรเจ็คต์ต่างๆ เช่น รถไฟฟ้า 2 สายก็จะช่วยได้ รวมทั้งการช่วยเหลือภาคเกษตรโดยเฉพาะการสนับสนุนผลผลิตที่เป็นพลังงานทดแทนด้วยก็น่าจะทำให้จีดีพีเติบโตได้ 2% ในปีหน้า

แต่หากมองภายใต้สมมติฐานเลวร้ายที่รัฐบาลไม่สามารถอัดฉีดเงินลงทุนและยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาการเมืองก็อาจจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยปีหน้าอาจติดลบ 0.4% จะทำให้วิกฤติมีความรุนแรงมากเพราะจะขยายไปยังภาคผลิตที่แท้จริง กำลังซื้อผู้บริโภคทั่วโลกลดลง ซึ่งเอสเอ็มอีจำนวนมากต้องพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก

"ตอนนี้ต้องพยายามสร้างความมั่นคงด้วยตัวเอง ประคับประคองธุรกิจเพราะตอนนี้เรามีโจทย์ภาวะถดถอย คนที่จะช่วยได้คือตัวเองไม่ควรจะพึ่งรัฐบาล ถึงแม้รัฐบาลจะเป็นกลไกลความหวังที่จะช่วยได้ในตอนนี้ แม้จะทำให้มีหนี้สาธารณะมากก็ต้องยอม และผมก็มองว่ารัฐสามารถสร้างความเติบโตการขยายและการลงทุนได้ 7% และหากดำเนินการเต็มที่เหมือนอย่างประเทศจีนและเกาหลีใต้ก็น่าจะส่งผลดีให้จีดีพีเติบโต 3% ได้ในปีหน้า แต่ผมก็ไม่อยากให้หวังเลย"นายเอกชัย กล่าวในงานเสวนา"การจัดการวิกฤติของ SME ภายใต้นโยบายรัฐบาลใหม่"

นายเอกชัย กล่าวต่อว่า นอกจากการที่ธปท. มีการตอบรับในการลดกอกเบี้ยแล้ว ภาครัฐก็ควรที่จะให้ความสำคัญในการปรับลดงภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT)ลดลงเหลือ 3% จากเดิมที่ 7% เพื่อเป็นการกระตุ้นการบริโภค และการใช้จ่ายของภาคประชาชน รวมทั้งเป็นการช่วยภาพรวมของเศรษฐกิจไทยด้วย เพราะถือว่าเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ