สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆของโลก ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (24 ธ.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ รวมถึงตัวเลขว่างงาน, ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภค และยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายเป็นไปอย่างเงียบเหงา เนื่องจากนักลงทุนและเทรดเดอร์ส่วนใหญ่ปลีกตัวออกนอกตลาดเพื่อฉลองเทศกาลคริสต์มาส
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 90.620 เยน/ดอลลาร์ จากระดับของอังคารที่ 90.860 เยน/ดอลลาร์ และอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 1.0764 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.0867 ฟรังค์/ดอลลาร์
ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้นแตะระดับ 1.3983 ดอลลาร์/ยูโร จากระดับ 1.3962 ดอลลาร์/ยูโร แต่ค่าเงินปอนด์อ่อนตัวลงแตะระดับ 1.4717 ดอลลาร์/ปอนด์ จากระดับ 1.4772 ดอลลาร์/ปอนด์
ส่วนค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์พุ่งขึ้นแตะระดับ 0.5746 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.5680 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ และค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นแตะระดับ 0.6828 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับ 0.6808 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย
ดอลลาร์สหรัฐได้รับแรงกดดันอย่างหนักจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ รวมถึงตัวเลขชาวอเมริกันที่ขอรับสวัสดิการในระหว่างตกงานเพิ่มขึ้น 30,000 ราย แตะระดับ 586,000 รายในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 20 ธ.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าตัวเลขดังกล่าวจะอยู่ที่ 560,000 ราย
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนพ.ย.ร่วงลง 1% แต่ลดลงน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะดิ่งลง 2.9% และระบุว่าตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐลดลงเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกันในเดือนพ.ย.โดยลดลง 0.6% ขณะที่รายได้ของชาวอเมริกันลดลง 0.2% ในเดือนพ.ย.หลังเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนต.ค.
ก่อนหน้านี้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ขั้นสุดท้ายประจำไตรมาส 3 หดตัวลง 0.5% มากกว่าที่คาดว่าจะหดตัวเพียง 0.3% และเป็นสถิติที่หดตัวลงรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3 ของปีพ.ศ.2544 ซึ่งเป็นผลมาจากผู้บริโภคลดการจับจ่ายใช้สอย
ส่วนค่าเงินปอนด์ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง หลังจากรัฐบาลอังกฤษเปิดเผยว่า เศรษฐกิจไตรมาส 3 หดตัวลงเกินคาด 0.6% ซึ่งทำให้เกิดกระแสคาดการณ์ว่าธนาคารกลางอังกฤษจะลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 0% ในปีหน้า ขณะที่สำนักงานวิจัยด้านอสังหาริมทรัพย์ของอังกฤษคาดการณ์ว่า ราคาอสังหาริมทรัพย์ภายในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวลดลงประมาณ 10% ในปีหน้า เนื่องจากภาคธนาคารคุมเข้มการออกสินเชื่อ และคาดว่าตัวเลขการสร้างบ้านใหม่อาจลดลงเหลือเพียง 80,000 หลัง