ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 20-21 พ.ย.ที่ผ่านมาว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายของบีโอเจได้หารือกันเรื่องความเสี่ยงด้านสินเชื่อก่อนที่จะตัดสินใจเข้าซื้อตราสารหนี้ระยะสั้นของบริษัทภายในประเทศเป็นครั้งแรก โดยมีเป้าหมายที่จะคลี่คลายปัญหาที่เกิดขึ้นในตลาดสินเชื่อ
อย่างไรก็ตาม ในการประชุมครั้งนี้คณะกรรมการบีโอเจมีความเห็นที่แตกต่างกันอยู่มาก โดยคณะกรรมการ 8 คนเห็นพ้องต้องกันว่า ขณะนี้บริษัทญี่ปุ่นเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ยากขึ้น จึงเห็นสมควรที่บีโอเจจะเข้าซื้อตราสารหนี้ของบริษัทญี่ปุ่น ขณะที่คณะกรรมการส่วนที่เหลือไม่เห็นด้วยที่บีโอเจจะเข้าซื้อตราสารหนี้
ถึงกระนั้นก็ตาม คณะกรรมการบอร์ดมีความเห็นเหมือนกันว่า สถานการณ์ด้านการเงินในญี่ปุ่นมีความตึงเครียดมากขึ้น และมองว่าบีโอเจควรหาทางช่วยเหลือบริษัทญี่ปุ่นให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้สะดวกขึ้นก่อนถึงช่วงปลายปีนี้
ส่วนในการประชุมเมื่อวันที่ 19 ธ.ค.ที่ผ่านมา บีโอเจประกาศลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลงสู่ระดับ 0.1% จากระดับ 0.3% ซึ่งเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งที่สองในรอบสองเดือน พร้อมกับประกาศซื้อตราสารหนี้ของบริษัทเอกชนและพันธบัตรรัฐบาล เพื่อเป้าหมายที่จะอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ นอกจากนี้ คณะกรรมการบีโอเจยังให้คำมั่นว่าจะหาทางแก้ไขวิกฤตการณ์สินเชื่อตึงตัวและยับยั้งเศรษฐกิจถดถอย
สำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเปิดเผยรายงานประเมินภาวะเศรษฐกิจรายเดือนเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยประเมินว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่น "ถดถอยรุนแรง" ในเดือนพ.ย. ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปีที่รัฐบาลญี่ปุ่นใช้คำว่าถดถอยรุนแรง ต่างจากการประเมินครั้งก่อนที่ใช้คำว่า "ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง"
รายงานของสำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นระบุว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นกำลังถดถอยอย่างรุนแรง โดยยอดส่งออกเดือนพ.ย.ทรุดตัวลงแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่บริษัทญี่ปุ่นปลดพนักงานออกอย่างต่อเนื่องและลดกำลังการผลิตลงเนื่องจากเศรษฐกิจถดถอย สถานการณ์เศรษฐกิจที่ถดถอยลงได้บีบให้บีโอเจตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลง 0.2% เหลือเพียง 0.1%
นอกจากนี้ รายงานฉบับดังกล่าวระบุว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มถดถอยลงอีกในอนาคต โดยเมื่อไม่นานมานี้ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) เปิดเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นของกลุ่มผู้ผลิตรายใหญ่ภายในประเทศ (ทังกัน) ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ผลิตรายใหญ่ รวมถึงผู้ผลิตรถยนต์และสินค้าอิเล็กทรอนิก ร่วงลงแตะระดับ -24 จุดในไตรมาสสี่ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 30 ปี จากไตรมาสสามที่ระดับ -3 จุด และร่วงลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ที่ -23 จุด ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงและวิกฤตการณ์การเงินที่ลุกลามไปทั่วโลก สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน