สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งแกร่งขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยน ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (26 ธ.ค.) หลังจากทางการญี่ปุ่นเปิดเผยตัวเลขผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ทรุดตัวลงอย่างหนัก ซึ่งจุดปะทุให้เกิดกระแสคาดการณ์ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) จะอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ดอลลาร์อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโร หลังจากมีรายงานว่าผู้บริโภคชาวอเมริกันลดการจับจ่ายในช่วงเทศกาลคริสต์มาส
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดอลลาร์สหรัฐแข็งแกร่งขึ้นแตะระดับ 90.650 เยน/ดอลลาร์ จากระดับของวันพุธที่ 90.390 เยน/ดอลลาร์ (เหตุที่ต้องเทียบกับระดับของวันพุธเพราะวันพฤหัสบดีตลาดเงินนิวยอร์กปิดทำการเนื่องในวันคริสต์มาส) แต่ดอลลาร์อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 1.0673 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.0792 ฟรังค์/ดอลลาร์
ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้นแตะระดับ 1.4064 ดอลลาร์/ยูโร จากระดับ 1.4012 ดอลลาร์/ยูโร และค่าเงินปอนด์พุ่งขึ้นแตะระดับ 1.4653 ดอลลาร์/ปอนด์ จากระดับ 1.4648 ดอลลาร์/ปอนด์
ค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์พุ่งขึ้นแตะระดับ 0.5779 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.5708 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ และค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งแกร่งขึ้นแตะระดับ 0.6862 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับ 0.6826 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย
ไมเคิล วูลฟอล์ค นักวิเคราะห์ด้านปริวรรตเงินตราจากแบงค์ ออฟ นิวอร์ก เมลลอน คอร์ป กล่าวว่า ดอลลาร์สหรัฐทะยานขึ้นแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับเงินเยน หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อนุมัติให้บริษัทสินเชื่อเพื่อรถยนต์ "จีแม็ก" (GMAC) เปลี่ยนสถานะเป็นธนาคารโฮลดิ้ง ซึ่งการเปลี่ยนสถานะจีแม็กเป็นธนาคารโฮลดิ้งถือเป็นการเปิดทางให้จีแม็กสามารถเข้าถึงกองทุนฟื้นฟูภาคการเงิน 700 พันล้านดอลาร์ของรัฐบาลสหรัฐ และจะทำให้จีแม็กสามารถปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อยานยนต์ให้กับลูกค้าจีเอ็มได้ต่อไป
ขณะที่เงินเยนร่วงลงอย่างหนัก เพราะได้รับแรงกดดันจากข้อมูลของรัฐบาลญี่ปุ่นที่ระบุว่า ผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนพ.ย.ร่วงลง 8.1% ทำสถิติดิ่งลงหนักสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.ปี 2496 โดยผลผลิตอุตสาหกรรมร่วงลงต่อเนื่องจากที่ทรุดตัว 3.1% ในเดือนต.ค. และยังร่วงลงแรงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 6.6%
อย่างไรก็ตาม ดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับเงินเยนหลังจากมาสเตอร์การ์ด แอ็ดไวเซอร์ส เปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกในสหรัฐช่วงเทศกาลวันหยุดร่วงลงอย่างหนักถึง 4% พร้อมระบุว่าตัวเลขการใช้จ่ายในช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เริ่มทำข้อมูลในปี 2545 เนื่องจากผู้บริโภคควบคุมการใช้จ่ายด้วยการเลือกซื้อเฉพาะสินค้าที่จำเป็น