สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งแกร่งขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโรและปอนด์ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (29 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อดอลลาร์ในช่วงท้ายของการซื้อขาย ส่งผลให้ยูโรไม่สามารถรั้งแรงบวกเอาไว้ได้หลังจากที่ทะยานขึ้นเพราะได้แรงหนุนจากเหตุการณ์สู้รบในตะวันออกกลาง
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ค่าเงินยูโรร่วงลงแตะระดับ 1.3979 ดอลลาร์/ยูโร จากระดับของวันศุกร์ที่ 1.4061 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่เงินปอนด์ร่วงลงแตะระดับ 1.4491 ดอลลาร์/ปอนด์ จากระดับ 1.4646 ดอลลาร์/ปอนด์
ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับเยนที่ 90.550 เยน/ดอลลาร์ จากระดับของวันศุกร์ที่ 90.690 เยน/ดอลลาร์ และอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 1.0590 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.0675 ฟรังค์/ดอลลาร์
ส่วนค่าเงินดอลลลาร์ออสเตรเลียขยับขึ้นแตะระดับ 0.6874 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับ 0.6860 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย และดอลลาร์นิวซีแลนด์อ่อนตัวลงแตะระดับ 0.5773 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.5778 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์
ไบรอัน โดแลน นักวิเคราะห์จาก Forex.com ในมลรัฐนิวเจอร์ซีกล่าวว่า เหตุการณ์สู้รบระหว่างกองกำลังอิสราเอลและกลุ่มฮามาสที่ฉนวนกาซา ส่งผลให้นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบอย่างคับคั่ง อีกทั้งกระตุ้นแรงซื้อสกุลเงินฟรังค์ ยูโร และทองคำในช่วงเช้า แต่ต่อมาแรงซื้อยูโรเริ่มแผ่วลงเนื่องจากนักลงทุนจำนวนมากเริ่มกลับเช้าซื้อดอลลาร์ตุนไว้ก่อนช่วงปีใหม่
นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังได้รับแรงหนุนจากข่าวที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อนุมัติให้บริษัทสินเชื่อเพื่อรถยนต์ "จีแม็ก" (GMAC) เปลี่ยนสถานะเป็นธนาคารโฮลดิ้ง ซึ่งการเปลี่ยนสถานะจีแม็กเป็นธนาคารโฮลดิ้งถือเป็นการเปิดทางให้จีแม็กสามารถเข้าถึงกองทุนฟื้นฟูภาคการเงิน 700 พันล้านดอลาร์ของรัฐบาลสหรัฐ และจะทำให้จีแม็กสามารถปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อยานยนต์ให้กับลูกค้าจีเอ็มได้ต่อไป
ส่วนค่าเงินปอนด์ร่วงลงเนื่องจากนักลงทุนชะลอคำสั่งซื้อ อย่างไรก็ตาม เฮนริค กัลเบิร์ก นักยุทธศาสตร์ทางการเงินจากดอยช์แบงค์กล่าวว่า สกุลเงินปอนด์จะดีดตัวขึ้นในปีหน้าหลังจากที่ดิ่งลงหนักสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโรในปีนี้ เนื่องจากนักลงทุนมั่นใจว่าเศรษฐกิจอังกฤษจะฟื้นตัวขึ้น
กัลเบิร์กคาดว่า สกุลเงินปอนด์จะแข็งค่าขึ้น 14% เมื่อเทียบกับยูโรในปีหน้า หลังจากดิ่งลงไปกว่า 24% ในปีนี้ เนื่องจากนักลงทุนเชื่อว่าเศรษฐกิจอังกฤษส่งสัญญาณการฟื้นตัวขึ้นได้ชัดเจนกว่าเศรษฐกิจในยุโรป และจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางอังกฤษจะชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ย