เงินยูโรแข็งค่ามากสุดในรอบเกือบ 2 สัปดาห์เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ หลังปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซ่าส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากหลายฝ่ายเกรงว่าปัญหาดังกล่าวอาจกระทบต่อการผลิตน้ำมัน ส่งผลให้เงินดอลลาร์ดึงดูดนักลงทุนน้อยลง
นอกจากนั้น เงินยูโรยังแข็งค่ามากสุดในรอบสัปดาห์เมื่อเทียบเงินเยน หลังธนาคารกลางญี่ปุ่นลดดอกเบี้ยเกือบแตะ 0% ส่วนเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเมื่อเทียบเงินปอนด์อังกฤษและเงินฟรังก์สวิส ก่อนที่สหรัฐจะเปิดเผยรายงานภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคการผลิตในสัปดาห์นี้ ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังถดถอยยิ่งกว่าเดิม
"ดูเหมือนว่านักลงทุนจะหันมาให้ความสนใจในเงินยูโรแทนเงินดอลลาร์" โมโตนาริ โอกาว่า ผู้อำนวยการฝ่ายซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราจากบริษัท บาร์เคลย์ แคปิตอล อิงค์ กล่าว "ภาวะตึงเครียดในตะวันออกกลางไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐ"
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ณ เวลา 10.18 น.ตามเวลาโตเกียว เงินยูโรแข็งค่ามากสุดนับตั้งแต่วันที่ 17 ธ.ค.ที่ 1.2% แตะ 1.4092 ดอลลาร์ต่อยูโร จาก 1.3927 ดอลลาร์ต่อยูโรเมื่อวานนี้ที่ตลาดนิวยอร์ก นอกจากนั้นยังแข็งค่าขึ้น 1.2% เมื่อเทียบเงินเยน แตะ 127.82 เยนต่อยูโร ซึ่งถือว่าแข็งค่ามากสุดนับตั้งแต่วันที่ 22 ธ.ค. และแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินปอนด์แตะ 97.07 เพนซ์อังกฤษต่อยูโร จาก 96.71 เพนซ์ต่อยูโรเมื่อวานนี้
นายโอกาว่าคาดการณ์ว่า เงินยูโรอาจแข็งค่าแตะ 128 เยนต่อยูโรในวันนี้
ด้านเงินดอลลาร์ยังอยู่ที่ระดับ 90.69 เยนต่อดอลลาร์ แต่อ่อนค่า 0.9% เมื่อเทียบเงินปอนด์แตะ 1.4517 ดอลลาร์ต่อปอนด์ และอ่อนค่าลง 0.9% เมื่อเทียบเงินฟรังก์สวิสแตะ 1.0526 ฟรังก์สวิสต่อดอลลาร์