นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวว่า การร่วมคณะของนายกรัฐมนตรีเข้าหารือกับผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ในช่วงเวลาประมาณ 16.00 น.วันนี้คาดหวังว่าจะทำให้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยมากขึ้นเพื่อบรรเทาปัญหาเศรษฐกิจ
"ผมได้ให้ความสำคัญกับแบงก์ชาติในการร่วมแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งการที่เศรษฐกิจชะลอตัวอย่างนี้ก็คาดหวังว่าแบงก์ชาติจะลดอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น"นายกรณ์ กล่าว
นอกจากนี้ รัฐบาลจะหารือและทำงานร่วมกับภาคเอกชน เพื่อร่วมวางแนวทางและนโยบบายดูแลเศรษฐกิจ ซึ่งมั่นใจว่าการทำงานระหว่างภาครัฐและเอกชนจะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง
นายกรณ์ กล่าวในงานสัมนาเรื่อง"การกอบกู้ความเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทย"ว่า ขณะนี้รัฐบาลต้องมีความระมัดระวังในการจัดทำมาตรฐการต่างๆ ต้องไม่มากหรือน้อยเกินไป เพราะปัญหาสำคัญ คือ เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงมา อาจไม่โตตามที่คาดหวังไว้ และจะส่งผลกระทบทั้งประชาชนและผู้ลงทุน
สิ่งสำคัญ คือ การสร้างความเชื่อมั่น แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือความไม่มั่นคงทางด้านการเมืองที่บั่นทอนความเชื่อมั่น ซึ่งหากมีความมั่นคงทางการเมืองก็เชื่อว่าจะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ ซึ่งการประชุมอาเซียนซัมมิทในสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ก.พ. 52 ก็จะเป็นโอกาสหนึ่งที่ไทยจะดึงความเชื่อมั่นในระดับต่างประเทศให้กลับคืนมา
นายกรณ์ กล่าวว่า รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยจะมีการเสนอจัดทำงบกลางปีเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในวันที่ 13 ม.ค. 52 และจะนำเข้าสู่สภา ในวันที่ 21 ม.ค. 52 เพื่อเร่งอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบ โดยการจัดสรรเม็ดเงินไม่ได้มุ่งเน้นแต่โครงการเมกะโปรเจ็คต์ แต่จะนำไปกระตุ้นการบริโภคหรือการใช้จ่ายภายในประเทศ
รวมทั้งแก้ปัญหาว่างงาน เพราะมองว่าในปีนี้แนวโน้มการว่างงานในระยะใกล้จะมีมากขึ้น ซึ่งบริษัทต่างๆจะมีการปรับลดพนักงาน เพื่อชะลอไม่ให้บริษัทเลิกจ้างงาน แต่แม้ว่ารัฐบาลจะมีการสร้างแรงจูงใจก็ตาม บริษัทเอกชนก็คงจะมีการปรับลดพนักงาน ดังนั้น รัฐบาลต้องวางแนวทางช่วยเหลือหางานให้ผู้ถูกเลิกจ้าง
นอกจากนี้ ยังมีโครงการอื่น ๆ ที่ต้องได้รับความร่วมมือจากธนาคาร ซึ่งเป็นแนวทางที่ตนเองได้วางไว้ตั้งแต่ปลายเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา
"ปัญหาเศรษฐกิจของเราไม่ได้มีการวางแนวทางปัองกัน เนื่องจากเราไม่ได้เผชิญปัญหาฟองสบู่แตก แต่สิ่งสำคัญ ภาคเกษตรของไทยมาช่วยรองรับผลกระทบจากต่างประเทศ แต่ขณะนี้พบว่าราคาสินค้าเกษตรตกต่ำหลังกำลังซื้อจากต่างประเทศหดหาย ซึ่งปัญหานี้รัฐบาลจะต้องเร่งเข้ามาแก้ไขด้วย" นายกรณ์ กล่าว
นอกจากนั้น ในส่วนรัฐวิสาหกิจ ซึ่งครึ่งหนึ่งยังเป็นหน่วยงานภาครัฐ โดยปีนี้แต่ละหน่วยงานก็มีแผนกู้เงินเพื่อขยายการลงทุน อย่างไรก็ตามก็ ต้องมีความระมัดระวังในการก่อหนี้ด้วย