กลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมรถยนต์ของไทยเตรียมนัดประชุมร่วมกัน 9 ม.ค.นี้ เพื่อระดมสมองหาแนวทางรับมือจากผลกระทบของเศรษฐกิจโลกและปัญหาการเมืองภายในประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบให้ยอดขายโดยรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ลดลงอย่างหนัก หากรัฐบาลสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นโดยเร็วจะเป็นผลดี
"นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นในไทยโดยเร็วที่สุด เพราะสิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดการใช้จ่ายในประเทศมากขึ้น" นางเพียงใจ แก้วสุวรรณ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าว
ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ กล่าวว่า ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมรถยนต์จะนำตัวเลขยอดขายที่แท้จริงของแต่ละค่ายมาวิเคราะห์อย่างละเอียดว่าได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด รวมทั้งจะหารือกันว่ามีแนวทางใดที่ต้องการเสนอให้รัฐบาลช่วยเหลือ ทั้งนี้คาดว่าในปี 52 ยอดขายเฉลี่ยโดยรวมจะลดลงประมาณ 20%
ด้านนายนินนาท ไชยธีรภิญโญ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า นอกจากยอดขายรถยนต์โดยรวมในประเทศขณะนี้จะลดลงประมาณ 20% แล้วยอดส่งออกยังลดลงประมาณ 30% เห็นได้ชัดว่าเป็นผลมาจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นและปัญหาการเมืองภายในประเทศ แต่หากรัฐบาลมีการบริหารจัดการที่ดีเชื่อว่าจะสามารถฝ่าฟันปัญหาวิกฤติไปได้
"รัฐบาลต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่น เชื่อใจ เพื่อให้ประชาชนกล้าใช้จ่ายเงินมากขึ้น เพื่อให้มีเงินหมุนเวียนในระบบ ไม่อยากให้ไปมุ่งเน้นที่การแก้ไขปัญหาเรื่องคนตกงานเพียงอย่างเดียวเพราะเป็นปลายเหตุ ควรเน้นกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะเป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ" นายนินนาท กล่าว
ส่วนกรณีที่โตโยต้าญี่ปุ่นได้ประกาศว่าโรงงานในญี่ปุ่นจะหยุดการผลิตรถยนต์เป็นการชั่วคราวเพิ่มเป็น 11 วัน ในช่วงปลายเดือน ก.พ.จนถึง มี.ค.นั้น นายนินนาท กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องปกติของการบริหารจัดการเมื่อปริมาณความต้องการในตลาดรถยนต์น้อยลงก็ต้องบริหารจัดการโรงงาน ไม่ได้หมายความว่าจะปิดโรงงานต่อเนื่อง
"ไม่อยากให้เกิดความตระหนกตกใจ เพราะถือเป็นเรื่องการบริหารจัดการต้นทุน ที่สำคัญไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการผลิตของโรงงานโตโยต้าในไทย เพราะใช้ชิ้นส่วนในประเทศเป็นหลักอยู่แล้ว"นายนินนาท กล่าว
ขณะที่นายโรเจอร์ อิมเมล รองประธานฝ่ายขายและเครือข่าย บริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล จำกัด กล่าวว่า ขณะนี้เร็วเกินไปที่จะวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี แต่ขอเวลาอย่างน้อย 100 วันเพื่อให้แสดงผลงานก่อน และเห็นว่ารัฐบาลจำเป็นต้องเดินหน้าต่อในโครงการรถยนต์แบบประหยัด(อีโคคาร์)และต้องผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่องเพื่อให้การส่งออกเติบโตได้มากขึ้น โดยยืนยันว่ารัฐบาลได้ให้การสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมรถยนต์มาโดยตลอดจึงทำให้หลายค่ายย้ายฐานการผลิตเพื่อการส่งออกมาที่ไทย
วันนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้รับมอบรถยนต์เพื่อใช้สำหรับสนับสนุนการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนจากตัวแทนจากบริษัท โตโยต้า จำกัด, บริษัท ไทยยานยนต์ จำกัด และบริษัท สยามนิสัน จำกัด
สำหรับรถยนต์ที่ได้รับมอบ ประกอบด้วย รถยนต์สำหรับประมุขรัฐ หัวหน้ารัฐบาล ยี่ห้อเล็กซัส รุ่นแอลเอส 460 แอล จำนวน 18 คัน, รถยนต์สำหรับรัฐมนตรีต่างประเทศ ยี่ห้อโฟล์คสวาเก้น รุ่นนิวคาราเวล 16 คัน, รถยนต์สำหรับรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ยี่ห้อโฟล์คสวาเก้น รุ่นนิวคาราเวล 16 คัน, รถยนต์สำหรับเลขาธิการอาเซียน ยี่ห้อโฟล์คสวาเก้น รุ่นนิวคาราเวล 1 คัน, รถยนต์สำหรับปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นแคมรี่ 3.5 คิว 16 คัน, รถยนต์สำหรับปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นแคมรี่ 2.4 วี 16 คัน,
รถยนต์สำหรับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยฝ่ายต่างประเทศ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นฟอร์จูนเนอร์ 17 คัน, รถยนต์สำหรับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยฝ่ายไทย ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นฟอร์จูนเนอร์ 17 คัน, รถยนต์สำหรับเจ้าหน้าที่ประสานงาน ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นอัลติส 67 คัน, รถยนต์สำหรับเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย ยี่ห้อนิสสัน รุ่นทีด้าแฮทแบ็ค 30 คัน และรถยนต์สำหรับรัฐมนตรีสำรอง ยี่ห้อโฟล์คสวาเก้น รุ่นนิวคาราเวล 1 คัน รวมทั้งหมด 215 คัน นอกจากนี้ บมจ.ปตท.(PTT) ยังสนับสนุนค่าน้ำมันสำหรับที่ใช้ในการประชุมอาเซียนซัมมิทมูลค่า 3 แสนบาท