นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลจะพยายามสรุปมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ได้ภายใน 13-14 ม.ค.นี้ โดยมาตรการส่วนหนึ่งจะมีการใช้มาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้ประจำ รวมทั้งมีการลดรายจ่ายให้กับผู้มีรายได้น้อย ซึ่งลูกจ้างภาคเอกชนอาจจะอยู่ในส่วนของเงินสมทบกองทุนประกันสังคม ขณะที่ลูกจ้างภาครัฐอาจจะช่วยเหลือในส่วนของเงินเพิ่มค่าครองชีพ
นอกจากนั้น รัฐบาลยังมีแนวทางการกู้เงินจากต่างประเทศเพิ่มเติมเพื่อใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยจะเน้นการนำมาใช้เฉพาะโครงการที่ก่อให้เกิดรายได้ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นโครงการเมกะโปรเจ็คต์ อาจเป็นโครงการขนาดเล็กก็ได้ แต่ยังต้องพิจารณาเงื่อนไขต่างๆ และขั้นตอนให้ละเอียด ซึ่งกระทรวงการคลังต้องการเตรียมการไว้เผื่อดำเนินการภายในปีงบประมาณนี้
เช้าวันนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวบรรยายหัวข้อ"เศรษฐกิจกับการเมืองไทย"ให้กับข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมว่า สิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการในขณะนี้คือการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการเพิ่มกำลังซื้อในประเทศ พร้อมทั้งรักษาอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เนื่องจากเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 1-2/52 มีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องจากไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน จากปัจจัยนอกประเทศที่เกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจในสหรัฐ รวมถึงความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศที่เกิดขึ้นในช่วงปลายปี ซึ่งกระทบต่อการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ทำรายได้หลักให้กับประเทศ
ขณะนี้รัฐบาลมีข้อจำกัดเรื่องวินัยการเงินการคลัง แต่ก็จะมีการจัดสรรงบกลางปีเพิ่มเติม 1 แสนล้านบาทภายใต้มาตรการที่ครอบคลุม 9 กลุ่ม และเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณปกติ รวมทั้งงบค้างท่อ ซึ่งในวันศุกร์หน้ารัฐบาลจะเร่งรัดเบิกจ่ายเงินงบประมาณในส่วนขององค์กรปกครองส่วนท้องถื่นที่ยังตกค้างอยู่เข้าสู่ระบบมากขึ้น