เชฟรอน คอร์ป บริษัทน้ำมันรายใหญ่หมายเลข 2 ของโลกเปิดเผยว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงในช่วงปลายปี 2551 จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อรายได้ของบริษัทประจำไตรมาส 4 ซึ่งอาจร่วงหนักสวนทางกับผลกำไรที่พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ราคาน้ำมันเริ่มปรับตัวลดลงหลังจากที่พุ่งสูงสุดเหนือระดับ 147 ดอลลาร์/บาร์เรลในเดือนก.ค. โดยในช่วงไตรมาสสี่ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.นั้น ราคาน้ำมันดิบเคลื่อนไหวที่ประมาณ 100 ดอลลาร์/บาร์เรล จนกระทั่งสิ้นเดือนธ.ค.ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงไปปิดที่ระดับ 44.60 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งลดลงเกือบ 60%
เชฟรอนเปิดเผยว่า ในช่วงเดือนต.ค.-พ.ย.2551 ราคาน้ำมันดิบเคลื่อนไหวในอัตราเฉลี่ยที่ 61.70 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งลดลง 45% จากระดับ 112.22 ดอลลาร์/บาร์เรลในช่วงไตรมาสสาม และจากราคาน้ำมันที่แกว่งตัวลดลง ทำให้เชฟรอนและบริษัทน้ำมันรายอื่นๆไม่สามารถกอบโกยเงินได้มากอย่างที่เคยทำได้ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน
โดยในช่วงไตรมาส 3 ของปีที่แล้วเชฟรอนสามารถโกยกำไรได้มากเป็นประวัติการณ์ถึง 7.89 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เอ็กซอน โมบิล คอร์ป บริษัทน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกเปิดเผยรายได้ที่สูงถึง 1.483 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ เชฟรอนจะเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 4 และผลประกอบการประจำปี 2551 ในวันที่ 30 ม.ค.นี้ ซึ่งตลาดวอลล์สตรีทคาดว่าผลประกอบการไตรมาส 4 ของเชฟรอนจะย่ำแย่ที่สุดในปี 2551