ที่ประชุมคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) เห็นชอบพิจารณาค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ(ค่าเอฟที) สำหรับการเรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟฟ้าในเดือน ม.ค.-เม.ย.เพิ่มขิ้น 14.85 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บจากประชาชนในบิลค่าไฟฟ้ารอบนี้เพิ่มขึ้นเป็น 3.17บาทต่อหน่วย
"กกพ.ได้พิจารณาการปรับโดยให้เป็นภาระและส่งผลกระทบต่อผู้ใช้บริการให้น้อยที่สุด ควบคู่ไปกับการให้ กฟผ.มีสภาพคล่องเพียงพอต่อการดำเนินกิจการ และการลงทุน กกพ.จึงได้กำหนดให้ กฟผ.ปรับขึ้นค่าในรอบนี้จำนวน 14.85 สตางค์ต่อหน่วย และรายได้ค้างรับที่เหลือจะนำไปเฉลี่ยในอนาคตที่ราคาเชื้อเพลิงมีแนวโน้มลดลง" นายดิเรก ลาวัณย์ศิริ ประธาน กกพ. กล่าว
โดยค่าเอฟทีรอบใหม่ในเดือน ม.ค.-เม.ย.เพิ่มขิ้นอีก 14.85 สตางค์ต่อหน่วย จากเดิมอยู่ที่ 77.70 สตางค์ต่อหน่วย เป็น 92.55 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บจากประชาชนในบิลค่าไฟฟ้ารอบนี้เพิ่มขึ้นจาก 3.02 บาทต่อหน่วย เป็น 3.17บาทต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณร้อยละ 4.91
ทั้งนี้ การปรับเพิ่มขึ้นค่าเอฟทีในส่วนของค่าเชื้อเพลิงและค่าค่าซื้อไฟฟ้าในงวดนี้ที่คำนวณได้จะต้องปรับเพิ่มขึ้นเท่ากับ 17.22 สตางค์ต่อหน่วยจากราคาเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น โดยราคาก๊าซธรรมชาติได้ปรับเพิ่มขึ้น 22 บาทต่อล้านบีทียู จากราคา 228.65 บาทต่อล้านบีทียู เป็น 251.24 บาทต่อล้านบีทียู ราคาน้ำมันดีเซลปรับเพิ่มขึ้น 0.56 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลจากราคา 15.08 บาทต่อลิตร เป็น 15.64 บาทต่อลิตร
ประธาน กกพ.กล่าวว่า กกพ.ได้มีการปรับการใช้ราคาเชื้อเพลิงปัจจุบัน(ม.ค.-เม.ย.52) มาใช้คำนวณแทนราคาเชื้อเพลิงอ้างอิง 2 เดือนที่ผ่านมา(ต.ค.-ธ.ค.51) เพราะราคาเชื้อเพลิงปัจจุบันมีแนวโน้มลดลง โดยหากใช้ราคาเชื้อเพลิงอ้างอิง 2 เดือนที่ผ่านมาราคาก๊าซธรรมชาติจะสูงถึง 274 บาทต่อล้านบีทียู ซึ่งจะเป็นภาระต่อผู้ใช้บริการมากขึ้น
"เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบและภาระทางการเงินที่จะเกิดขึ้นกับผู้ใช้บริการ กกพ.จึงมีมติให้การปรับค่าเอฟทีงวดนี้เพียง 14.85 สตางค์ต่อหน่วย" นายดิเรก กล่าว
ประธาน กกพ.กล่าวว่า ส่วนต่างค่าเอฟทีของค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าที่คำนวณได้กับที่เรียกเก็บในรอบนี้เท่ากับ 2.37 สตางค์ต่อหน่วยหรือประมาณ 1,036 ล้านบาท เมื่อรวมกับยอดสะสมที่เกิดจากความแตกต่างระหว่างค่าเอฟทีที่คำนวณได้กับที่เรียกเก็บในงวดที่ผ่านมา ทำให้ กฟผ.มีรายได้ค้างรับ ซึ่งทหให้ กฟผ.มีภาระการเงินเพิ่มขึ้นเป็น 20,967 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หากนำรายได้ค้างรับของ กฟผ.ในงวดที่แล้ว มารวมกับค่าเอฟทีในงวดนี้จะคำนวณได้เท่ากับ 140.53 สตางค์ต่อหน่วย เนื่องจาก กฟผ.มีรายได้ค้างรับจากการปรับค่าเอฟทีในงวดที่แล้ว(ต.ค.-ธ.ค.51) 19,931 ล้านบาท(จากค่าเอฟทีที่ต้องขึ้น 44.57 สตางค์ต่อหน่วย แต่ปรับขึ้นเพียง 14.85 สตางค์ต่อหน่วย) ดังนั้นหากมีการปรับขึ้นในอัตราดังกล่าวจะส่งผลให้ประชาชนต้องรับภาระค่าไฟในรอบบิลนี้เฉลี่ยร้อยละ 21 นับว่าสูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่มีแนวโน้มชะลอตัว
สำหับประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยขนาดเล็กจะไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับค่าเอฟทีรอบนี้โดยตรง เนื่องจากภาครัฐอยู่ระหว่างการพิจารณาขยายตาม 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อคนไทยทุกคน ของภาครัฐ ในการลดค่าใช้จ่ายไฟฟ้าของครัวเรือน