นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.) เปิดเผยว่า สบน.ปรับรูปแบบการออกตราสารหนี้ภาครัฐในปีงบประมาณ 52 ให้สอดคล้องกับแผนการกู้เงินของภาครัฐที่เพิ่มขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในประเทศที่เป็นขาลง โดยจะเพิ่มวงเงินพันธบัตรระยะสั้น ลดวงเงินพันธบัตรระยะยาวและพันธบัตรออมทรัพย์
แผนการกู้เงินดังกล่าว จะเพิ่มการออกพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น อายุ 2 ปี (LB116A) วงเงิน 78,000 ล้านบาท และปรับเพิ่มยอดคงค้างของตั๋วเงินคลังอายุ 1- 3- 6 เดือน วงเงิน 99,000 ล้านบาท ให้สามารถรองรับอุปสงค์ของพันธบัตรระยะสั้นที่เพิ่มขึ้น
พร้อมทั้ง ปรับลดพันธบัตรรัฐบาลรุ่นอายุ 30 ปี เนื่องจากผลตอบแทนมีระดับต่ำมาก ซึ่งจากการหารือกับนักลงทุนระยะยาว จึงเห็นควรปรับลดพันธบัตรรุ่นดังกล่าวลง 4,000 ล้านบาท และปรับลดพันธบัตรออมทรัพย์จากเดิม 60,000 ล้านบาท เหลือ 10,000 ล้านบาท ให้สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยขาลง จะยังมีการออกพันธบัตรออมทรัพย์เพื่อหล่อเลี้ยงตลาดในปริมาณที่เหมาะสม และไม่เป็นการแย่งเงินฝากของสถาบันการเงิน
การปรับแผนการออกพันธบัตรดังกล่าวสืบเนื่องจากกระทรวงการคลังปรับแผนการกู้เงินของรัฐบาลประจำปีงบประมาณ 52 จาก 435,690 ล้านบาท เป็น 535,690 ล้านบาท หลังจากที่รัฐบาลได้จัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมอีกกว่า 1 แสนล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ แยกเป็น การชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 349,500 ล้านบาท และการปรับโครงสร้างหนี้ วงเงิน 175,190 ล้านบาท แยกเป็นการออกพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2-30 ปี วงเงินรวม 346,999 ล้านบาท ออกพันธบัตรออมทรัพย์ 2 รุ่น วงเงินรวม 10,000 ล้านบาท ออกตั๋ว P/N วงเงิน 43,691 ล้านบาท ออก T-Bill วงเงิน 99,999 ล้านบาท และเครื่องมือที่ใช้ระดมทุนครั้งต่อไปอีก 36,000 ล้านบาท
นายพงษ์ภาณุ กล่าวว่า สบน.คำถึงความเป็นไปได้สูงสุดในการกู้เงินเพิ่มเติม ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้โดยรวม และการสร้างความต่อเนื่องของการออกพันธบัตรรุ่นที่เป็น Benchmark Bond ที่เอื้อต่อการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ โดยสบน. จะประกาศตารางการออกพันธบัตรรัฐบาลอย่างสม่ำเสมอทุกไตรมาส ซึ่งใน Q1 ของปีงบประมาณ 52 ได้ออกไปแล้ว 60,000 ล้านบาท