เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค อาจรายงานตัวเลขผลกำไรที่ตกต่ำที่สุดนับตั้งแต่เจมี ไดมอนได้รับแต่งตั้งให้เป็นซีอีโอในปี 2548 ขณะที่สถานการณ์ในตลาดสินเชื่อยังคงซบเซา
นักวิเคราะห์จากโพลล์ของสำนักข่าวบลูมเบิร์กคาดการณ์ว่า ผลประกอบการประจำไตรมาส 4 ปี 2551 ของเจพีมอร์แกนอาจดิ่งลง 83% จากปีก่อนหน้านี้ เหลือเพียง 519.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่รายได้ต่อหุ้นนั้นแทบเป็นศูนย์
จากสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐมีเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาแรมปี ประกอบกับดอกเบี้ยเงินกู้ที่ลดลง และอัตราว่างงานที่พุ่งสูงสุดในรอบ 15 ปีได้บั่นทอนรายได้ของธนาคารหลายแห่งในสหรัฐต้องรับมือกับวิกฤตสินเชื่อทั่วโลกที่ซบเซามาตั้งแต่ต้นปี 2550
นอกจากนี้ เจพีมอร์แกนอาจรายงานตัวเลขการผิดนัดชำระหนี้ของผู้บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่รายได้ด้านวาณิชธนกิจหดตัวลง
"ผลประกอบการของบริษัทเลวร้ายมาก" ไดมอน ซีอีโอของเจพีมอร์แกนกล่าวโดยชี้ว่า ระบบการเงินในเดือนก.ย.ตกอยู่ในภาวะชะงักงันและคาดว่าวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำจะยังกินเวลาต่อไปอีก 2 ไตรมาส
ด้านจอห์น แมคโดนัลด์ นักวิเคราะห์จาก Sanford C Bernstein & Co คาดว่า ธนาคารจะรายงานตัวเลขขาดทุนในไตรมาสแรกนับตั้งแต่ปี 2547 จากผลกระทบของตลาดทุนที่เลวร้าย ค่าใช้จ่ายด้านสินเชื่อที่สูงขึ้น รวมถึงการปรับลดมูลค่าทางบัญชีจากสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากขึ้น
ทั้งนี้ เจพีมอร์แกน ธนาคารรายใหญ่อันดับสองของสหรัฐในแง่สินทรัพย์มียอดการปรับลดมูลค่าทางบัญชี รวมกับยอดขาดทุนทั้งสิ้น 2.05 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ นับตั้งแต่เริ่มเกิดวิกฤตการเงิน ขณะที่ซิตี้กรุ๊ป อิงค์มียอดขาดทุนราว 6.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยหุ้นของเจพีมอร์แกนร่วงลง 36% ในปีที่แล้วเมื่อเทียบกับซิตี้กรุ๊ปที่ดิ่งลง 80% ส่วนหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ธนาคารรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐทรุดฮวบลง 72%