นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ระบุว่า การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ในช่วงที่ผ่านมายังไม่ได้ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนลดลงมากนัก เพราะแม้ว่าดอกเบี้ยนโยบายจะลงไปถึง 1% ในเดือน ธ.ค.51 แต่ดอกเบี้ยในระบบธนาคารพาณิชย์ลดลงเพียง 0.25% เท่านั้น เหตุผลอาจเป็นเพราะส่วนหนึ่งธนาคารพาณิชย์ต้องให้ความสำคัญกับความเสี่ยงด้านสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น จึงต้องเผื่อสำรองส่วนต่างของดอกเบี้ยไว้
รมว.คลัง มองว่า ประเทศไทยมีทางเลือกน้อยในการระดมเงินและส่วนใหญ่เป็นการระดมเงินผ่านธนาคารพาณิชย์ ขณะที่ส่วนต่าง(สเปรด)อัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ไทยยังสูงถึง 6% ในขณะที่ต่างประเทศมีสเปรดอยู่ที่ 1.5% เท่านั้น และอำนาจการครอบครองส่วนแบ่งตลาดจะอยู่ที่แบงก์ใหญ่ ดังนั้น จึงต้องการเห็นสเปรดดอกเบี้ยลดลง
"อยากขอความร่วมมือธนาคารพาณิชย์ให้ปรับลดสเปรด ซึ่งหากธนาคารคิดดอกเบี้ยสูงในระยะยาว ลูกค้าไปไม่รอด แบงก์ก็ไม่สามารถดำเนินกิจการได้" รมว.คลัง ระบุ
รมว.คลัง กล่าวด้วยว่า รัฐบาลยังให้ความสำคัญในการพัฒนาตลาดทุนเพื่อเข้าไปมีส่วนในการระดมทุนของเอกชนมากขึ้น ซึ่งขณะนี้ได้ลงนามอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนแล้ว และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เร่งรัดให้วางแนวทางการพัฒนาตลาดทุนโดยเร็ว และเปิดรับฟังความเห็นจากผู้ประกอบการหลายภาคส่วน
ทั้งนี้ ยอมรับว่าการพัฒนาตลาดทุนไทยยังมีปัญหาเรื่องขนาดของตลาดที่ยังมีขนาดเล็ก แม้จะผลักดันให้มูลค่าตลาดเท่ากับผลผลิตมวลรวมในประเทศ(GDP)ก็ตาม ดังนั้น ระยะยาวจึงมีแนวคิดจะผลักดันให้มีการควบรวมตลาดทุนเข้ากับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อสร้างความสำคัญในสายตานักลงทุนโลก โดยจะนำแนวคิดดังกล่าวหารือในการประชุม รมว.คลังอาเซียนเดือน พ.ค.52