ผู้อำนวยการสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย แนะรัฐบาลเร่งผลักดันให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำโดยเร็ว ด้วยการคัดเลือกตัวจากโครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนแล้ว เพื่อสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนต่างชาติ
นายวิกรม วัชระคุปต์ ผู้อำนวยการสถาบันเหล็กฯ กล่าวว่า เตรียมหารือกับนางอรรชกา ศรีบุญเรือง บริมเบิล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) เรื่องการส่งเสริมการลงทุนในโครงการเหล็กต้นน้ำ โดยควรจะเลือกนักลงทุนที่จะได้รับการส่งเสริมการลงทุนก่อน ระหว่างที่สถาบันเหล็กฯ เดินหน้าศึกษาผลกระทบด้านต่างๆ เพราะโครงการลงทุนดังกล่าวต้องใช้เวลาก่อสร้าง 3-4 ปี
แผนการศึกษาเกี่ยวกับโครงการเหล็กต้นน้ำจะพิจารณาว่าหากมีการลงทุนดังกล่าวเกิดขึ้นแล้วจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร ทั้งผลกระทบทางทะเลและบนชายฝั่ง รวมถึงผลกระทบทางสังคม และผลกระทบทางเศรษฐศาสตร์ด้วย โดยการศึกษาผลกระทบทางทะเลอาจใช้เวลาศึกษานานกว่า 1 ปี ซึ่งสถาบันเหล็กฯ ได้มอบหมายให้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เป็นผู้ดำเนินการ
ผู้อำนวยการสถาบันเหล็กฯ กล่าวว่า สำหรับพื้นที่ที่มีความเป็นไปได้ในการก่อสร้างโครงการดังกล่าวมี 4 แห่ง คือ อ.ปะทิว จ.ชุมพร, อ.สิชล และ อ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช, อ.ดอนสัก จ.สุราษฎร์ธานี และ อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งสถาบันเหล็กฯ เห็นว่า จ.ชุมพร มีความเหมาะสมมากกว่าพื้นที่อื่นๆ
สำหรับความต้องการใช้เหล็กของไทยอยู่ที่ประมาณปีละ 12 ล้านตัน โดย 7 ล้านตันเป็นเหล็กคุณภาพทั่วไป และอีก 5 ล้านตันเป็นเหล็กคุณภาพพิเศษ ซึ่งหากเกิดการลงทุนในประเทศไทยจะมีระบบสาธารณูปโภคลงทุนตามมาอีกจำนวนมาก ประโยชน์ที่ได้นอกจากลดการนำเข้าเหล็กแล้ว ยังได้ผลประโยชน์จากการใช้ระบบสาธารณูปโภคที่เกิดขึ้นต่อเนื่องอีกด้วย