ผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดการเงินจาก 30 ประเทศในเอเชียและยุโรปต่างเรียกร้องให้หลายประเทศร่วมมือกันต่อสู้กับวิกฤตการเงินพร้อมทั้งเตือนว่าไม่ควรใช้นโยบายกีดกันทางการค้าเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศของตนเอง (protectionism)
อันโตนิโอ เด เลเซีย ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการการเงินและเศรษฐกิจของคณะกรรมาธิการยุโรปกล่าวว่า ขณะที่เจ้าหน้าที่ต่างใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดเพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจรอดพ้นจากภาวะถดถอย แต่ผลกระทบจากวิกฤตการเงินก็จะยังปรากฏให้เห็นอยู่ในอนาคต และแม้ทั่วโลกจะมีปัญหาใหญ่หลวงที่รออยู่เบื้องหน้า แต่เราไม่ควรกลับไปใช้วิธีแก้ปัญหาง่ายๆด้วยโยบายกีดกันทางการค้าเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศของตนเอง เพราะผลเสียจากการใช้มาตรการดังกล่าวจะเกิดขึ้นตามมาเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อยุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในปี 2472 มาแล้ว
ด้านโนบุมิตซึ ฮายาชิ ผู้ช่วยรัฐมนตรีการคลังฝ่ายกิจการระหว่างประเทศของญี่ปุ่นกล่าวว่า การควบคุมดูแลสถาบันการเงินที่ผิดพลาดคือต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้น และปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องได้รับการแก้ไข โดยเขาได้ชี้ให้เห็นตัวอย่างจากตัวเลขบัญชีของสถาบันการเงินสหรัฐที่ล้มเหลวซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า บริษัทเหล่านี้ขาดการบริหารจัดการที่ดี
นอกจากนี้ เขายังกล่าวเสริมว่า ประเทศในเอเชียควรเดินหน้าผลักดันโครงการ Chiang Mai Initiative อันเป็นกรอบความร่วมมือในการปรับปรุงข้อตกลงว่าด้วยการแลกเปลี่ยนเงินตรา (currency swap) ระหว่างกลุ่มอาเซียน+3 ให้เป็นรูปธรรมเพื่อเพิ่มความคล่องตัวและประสิทธิภาพในการจัดสรรเงินตราระหว่างประเทศในภาวะขาดแคลนสภาพคล่อง
ด้านชิน เจ ยูน ผู้ช่วยรัฐมนตรีฝ่ายกิจการระหว่างประเทศของกระทรวงยุทธศาสตร์และการคลังของเกาหลีใต้กล่าวว่า ประเทศกำลังพัฒนาบางแห่งยังมีข้อกฎระเบียบข้อบังคับในอุตสาหกรรมการเงินที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลมากเกินไป"
ขณะที่นายโดนัลด์ ซัง ประธานคณะบริหารเขตปกครองพิเศษฮ่องกงกล่าวว่า อัตราว่างงานที่พุ่งสูงขึ้นเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงที่กีดขวางการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่ตนเชื่อว่าเศรษฐกิจจะกลับมาสดใสได้อีกครั้งภายใต้ความร่วมมือในการพัฒนาเมืองมาเก๊าและจีน
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ด้านการเงินและนักธุรกิจหลายร้อยคนจากประเทศในเอเชียและยุโรปราว 30 ประเทศ ได้มารวมตัวกันที่ฮ่องกงในวันนี้เพื่อร่วมเปิดการประชุม เอเชียน ไฟแนนเชียล ฟอรั่ม ซึ่งจะจัดขึ้นเป็นเวลา 2 วัน เพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นต่างๆที่มีสาเหตุมาจากเศรษฐกิจโลกตกต่ำ สำนักข่าวเกียวโดรายงาน