สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งแกร่งขึ้นเมื่อเทียบกับเงินยูโร, ปอนด์และฟรังค์สวิส ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (22 ม.ค.) เพราะได้รับแรงหนุนจากทิโมธี ไกธ์เนอร์ ว่าที่รมว.คลังสหรัฐ ที่แสดงความเห็นว่า นโยบายดอลลาร์แข็งแกร่งเป็นประโยชย์ต่อระบบเศรษฐกิจสหรัฐ
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ค่าเงินดอลลาร์แข็งแกร่งขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 1.1526 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.1523 ฟรังค์/ดอลลาร์ แต่อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 88.670 เยน/ดอลลาร์ จากระดับ 89.430 เยน/ดอลลาร์
ค่าเงินปอนด์ร่วงลงแตะระดับ 1.3892 ดอลลาร์/ปอนด์ จากระดับ 1.3979 ดอลลาร์/ปอนด์ และยูโรดิ่งลงแตะระดับ 1.3010 ดอลลาร์/ยูโร จากระดับ 1.3039 ดอลลาร์/ยูโร
ค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์อ่อนตัวลงแตะระดับ 0.5275 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.5324 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ และค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลงแตะระดับ 0.6561 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับ 0.6640 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย
ดอลลาร์สหรัฐได้รับแรงหนุนจากไกธ์เนอร์ที่แสดงวิสัยทัศน์ทางเศรษฐกิจต่อคณะกรรมาธิการด้านการเงินแห่งวุฒิสภาว่า "นโยบายดอลลาร์แข็งแกร่งเป็นประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจสหรัฐ" นอกจากนี้ นักลงทุนยังขานรับคณะกรรมาธิการด้านการเงินแห่งวุฒิสภาที่ลงมติสนับสนุนไกธ์เนอร์ให้ดำรงตำแหน่งรมว.คลัง แต่ไกธ์เนอร์ต้องรอมติในขั้นตอนสุดท้ายจากวุฒิสภาทั้งคณะ ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นในวันศุกร์หรือสัปดาห์หน้า
ไกธ์เนอร์กล่าวว่ารัฐบาลญี่ปุ่นไม่ควรแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตราเพื่อสกัดกั้นการพุ่งขึ้นของสกุลเงินเยนเมื่อเทียบกับดอลลาร์ โดยระบุว่าการใช้นโยบายยืดหยุ่นในระบบอัตราแลกเปลี่ยนของญี่ปุ่นถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อสหรัฐและต่อเศรษฐกิจโลก เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่
ก่อนหน้านี้ไกธ์เนอร์เรียกร้องให้สภาคองเกรสผ่านแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมกับให้คำมั่นสัญญว่าจะปฏิรูปโครงการฟื้นฟูมูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์ของรัฐบาลสหรัฐ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าการไหลเวียนในตลาดสินเชื่อมีมากพอที่จะกระตุ้นกลไกในตลาดให้กลับมาทำงานได้ตามปกติ นอกจากนี้ ไกธ์เนอร์ยังแสดงจุดยืนชัดเจนที่จะใช้แผนเชิงรุกเพื่อปกป้องประชาชนไม่ให้สูญเสียบ้านและตกงาน อีกทั้งจะช่วยพยุงธุรกิจขนาดเล็กให้เดินหน้าต่อไปได้
อย่างไรก็ตาม ดอลลาร์ได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้นสู่ 589,000 รายในสัปดาห์ที่ผ่านมา และตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านร่วงลง 15.5% เหลือเพียง 550,000 ยูนิต ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์