จอห์น เธน ซีอีโอเมอร์ริล ลินช์ ซึ่งเป็นผู้ผลักดันให้เมอร์ริล ลินช์ วาณิชธนกิจที่มีอายุเก่าแก่ถึง 95 ปีของสหรัฐ ขายกิจการให้กับแบงค์ ออฟ อเมริกาเมื่อเดือนก.ย.ปีที่แล้ว ถูกบีบให้ลาออกจากตำแหน่ง หลังจากเมอร์ริล ลินช์ ขาดทุนเป็นวงเงินสูงถึง 1.54 หมื่นล้านดอลลาร์ จนทำให้เมอร์ริล ลินช์ต้องขอความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากรัฐบาลสหรัฐ
โรเบิร์ต สติกเลอร์ โฆษกแบงค์ ออฟ อเมริกา กล่าวว่า "นายเธน วัย 53 ปี เห็นด้วยว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในเวลานี้ทำให้เขารู้ตัวว่าไม่เหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งผู้บริหารของเมอร์ริล ลินช์ ต่อไป จึงได้ตัดสินใจลาออก ซึ่งถือเป็นการปิดฉากการทำงานในเมอร์ริล ลินช์ของเธน
เมื่อเดือนก.ย.ปีที่แล้ว เมอร์ริล ลินช์ ได้ตัดสินใจขายกิจการให้กับแบงค์ ออฟ อเมริกา หลังจากราคาหุ้นเมอร์ริล ลินช์ ร่วงลงกว่า 1 ใน 3 ในช่วงเวลานั้น และข่าวดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่ตลาดวอลล์สตรีทยังคงตื่นตระหนกกับข่าวที่ว่า เลห์แมน บราเธอร์ส วาณิชธนกิจคู่แข่งรายสำคัญของเมอร์ริล ลินช์ ล้มละลาย
เจมส์ โพสต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจและธุรกิจจากมหาวิทยาลัยบอสตัน กล่าวว่า "เมอร์ริล ลินช์ ขาดทุนหนักกว่าที่มีการประเมินไว้ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือผมคิดว่าผู้บริหารของแบงค์ ออฟ อเมริกา คงมองว่านายเธนไม่สามารถควบคุมการใช้จ่ายและลดการขาดทุนได้ สถานการณ์เช่นนี้บีบให้นายเธนต้องตัดสินใจลาออกในที่สุด"
โพสต์ยังกล่าวด้วยว่า นี่ไม่ใช่เหตุการณ์ครั้งแรกที่เกิดขึ้นกับเมอร์ริล ลินช์ โดยเมื่อเดือนต.ค.ปี 2550 สแตนลีย์ โอนีล ซีอีโอคนก่อนของเมอร์ริล ลินช์ ถูกบีบให้ออกจากตำแหน่ง หลังจากทำงานให้กับเมอร์ริล ลินช์มานานเกือบ 5 ปีและมีส่วนผลักดันให้เมอร์ริล ลินช์ เป็นบริษัทการเงินระดับแนวหน้าในตลาดวอลล์สตรีท จากนั้นเมอร์ริล ลินช์ ประกาศแต่งตั้ง จอห์น เธน อดีตผู้บริหาร NYSE Euronext และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของโกลด์แมน แซคส์ ให้คุมบังเหียนเมอร์ริล ลินช์ แทนโอนีล
นอกจากนี้ ยังมีสถาบันการเงินรายอื่นๆที่เผชิญวิกฤติศรัทธาในตัวผู้นำจนต้องบีบให้ซีอีโอพ้นเก้าอี้ รวมถึงชาร์ลส์ พรินซ์ ซีอีโอซิตี้กรุ๊ป ถูกบีบให้ออกจากตำแหน่งในเดือนพ.ย.ปี 2550 หลังจากที่ทำงานให้กับซิตี้กรุ๊ปมานานเกือบ 5 ปี จากนั้นประมาณ 1 เดือน ซิตี้กรุ๊ปประกาศแต่งตั้ง วิกรม บัณฑิต อดีตผู้บริหารเมอร์ริล ลินช์ รับตำแหน่งซีอีโอแทน สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน